ปี’68 กำไรธุรกิจโพลิเมอร์เพิ่มขึ้น ดีต่อผู้ผลิต IRPC,IVL,PTTGC,SCC

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดปี’68 กำไรธุรกิจโพลิเมอร์ปรับตัวดีขึ้นแต่ยังต่ำกว่าปี’65 Spread PE, PP, และ PET ขยับสูงถึง 9.9%, 6.9%, และ 4.0% เหตุราคาวัตถุดิบลดลงตามราคาน้ำมันดิบ ด้านการส่งออกลดลง 2.7% จากจีนเพิ่มกำลังการผลิต อุปสงค์ในประเทศโตแค่ 1.6% จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกอะไหล่รถยนต์ ระยะยาวยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากสินค้าล้นตลาดและกฎเกณฑ์ที่เน้นใช้วัสดุรักษ์โลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า กำไรธุรกิจโพลิเมอร์มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นในปี 2568 แต่ยังต่ำกว่าช่วงปี 2565 เนื่องจากส่วนต่างระหว่างราคาโพลิเมอร์และวัตถุดิบตั้งต้น (Spread) แม้จะปรับตัวขึ้น แต่ยังต่ำกว่าช่วงปี 2565 อยู่ 17%
ในปีนี้ Spread ของ PE, PP และ PET คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 9.9%, 6.9% และ 4.0% ตามลำดับ เพราะ
1.ราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะแนฟทามีแนวโน้มหดตัวตามราคาน้ำมันดิบดูไบที่อยู่ในทิศทางขาลง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้คาดว่าจะหดตัวลง 12% จากปี 2567 มาอยู่ที่ 70 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล
2.ราคาโพลิเมอร์ในเอเชียคาดว่าจะไม่ปรับตัวลงแรงเท่ากับราคาวัตถุดิบ เพราะมีแรงหนุนด้านอุปสงค์จากจีนที่มีนโยบายเน้นกระตุ้นการบริโภค และเพิ่มเป้าหมายขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ต่อ GDP เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568

คาดตลาดไทยโต 1.6%

คาดว่าความต้องการบริโภคภายในประเทศจะเติบโต จาก
1.ความต้องการ PE ในประเทศคาดว่าจะโต 1.5% เนื่องจากปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่จะเติบโตตามธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มในปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.6% รวมถึงการใช้วัสดุก่อสร้าง เช่น ท่อพลาสติก จะเติบโตตามตลาดก่อสร้าง โดยเฉพาะงานก่อสร้างภาครัฐซึ่งกลับมาดำเนินการได้หลังจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในปี 2567

2. ความต้องการ PP คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3% เนื่องจากการเติบโตของการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับยอดขายชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้ในการซ่อมบำรุงรถยนต์ของไทยที่คาดว่าจะขยายตัว 3.6% ในปีนี้ ตามปริมาณรถยนต์จดทะเบียนสะสมที่เพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันมีอยู่ราว 20 ล้านคัน

3.ความต้องการ PET คาดว่าจะขยายตัว 2.1% ตามการเติบโตของความต้องการ PET ในการผลิตขวดน้ำดื่มและบรรจุภัณฑ์อาหาร
ตามการเติบโตของความต้องการ PET ในการผลิตขวดน้ำดื่มและบรรจุภัณฑ์อาหาร แต่ก็ได้รับแรงกดดันจากความต้องการใช้เส้นใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตจาก PET ที่คาดว่าจะลดลงตามการหดตัวของตลาดเครื่องนุ่งห่ม เพราะการแข่งขันกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปราคาย่อมเยาที่นำเข้าจากจีน

คาดส่งออกโพลิเมอร์ไทยหดตัว 2.7%

การส่งออกโพลิเมอร์ไทยไม่ถูกกระทบจากการเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ เพราะ PET ซึ่งมีการส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐฯ ราว 1 ใน 4 ของปริมาณส่งออกทั้งหมด ถูกยกเว้นการเก็บภาษีต่างตอบแทน ในขณะที่ไทยแทบไม่ส่งออก PE และ PP ไปยังสหรัฐฯ ในปัจจุบัน

แนวโน้มการส่งออกของแต่ละผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์

1.ปริมาณส่งออก PE คาดว่าจะปรับตัวลง 2.2% เพราะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดที่ไทยส่งออก PE เป็นอันดับหนึ่ง มีแนวโน้มนำเข้า PE ลดลง จากแผนการเพิ่มกำลังการผลิต PE ราว 5 ล้านตัน และ 6.5 ล้านตันในปีนี้และปีหน้า ตามลำดับ

2. ปริมาณส่งออก PP คาดว่าจะลดลง 0.8% จากการที่จีนมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิต PP 7.1 ล้านตันในปี 2568 อย่างไรก็ดี การส่งออก PP คาดว่าจะไม่ปรับตัวลงแรงนักในปีนี้ เพราะการส่งออกไปยังอินโดนีเซียยังคงมีแนวโน้มเติบโต หลังรัฐบาลอินโดนีเซียยกเลิกแนวคิดจำกัดการนำเข้า PP ในปีที่ผ่านมา ไทยส่งออก PP ไปอินโดนีเซียคิดเป็น 1 ใน 4 ของปริมาณส่งออก PP ใกล้เคียงกับการส่งออกของไทยไปยังตลาดจีน

3.ปริมาณส่งออก PET คาดว่าจะหดตัว 6.1% เพราะการส่งออก PET ไปยังสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว รวมถึงการที่สหรัฐฯ หันไปนำเข้า PET จากประเทศในทวีปอเมริกาเหนือมากขึ้น เช่น เม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม ตลาดญี่ปุ่นยังคงเป็นปัจจัยหนุนสำคัญ เนื่องจากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ขวดพลาสติกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยชะลอแรงกดดันต่อการส่งออก PET ของไทยบางส่วน

ความเสี่ยงระยะกลางถึงยาว

การมาของกฎระเบียบด้านการจัดการพลาสติกอาจผลักดันการใช้วัตถุดิบรักษ์โลก แผนจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) ของไทย กำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าที่ใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบ ต้องรับผิดชอบในการรวบรวมและจัดการขยะพลาสติก ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตหันไปใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งพลาสติกชีวภาพและพลาสติกรีไซเคิลมากขึ้น

การเพิ่มกำลังการผลิตของจีนอย่างเข้มข้นในตลาดโลก ส่งผลให้กำลังการผลิตโดยรวมขยายตัวเฉลี่ย 6% ในช่วงปี 2564-2568 ในขณะที่อุปสงค์ในตลาดโลกเติบโตเฉลี่ยเพียง 3% ทำให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน และสร้างแรงกดดันต่อราคาโพลิเมอร์โลก