TTB ฟันกำไร 5,096 ลบ.โต 2% จาก Q4/67 ลดสำรองหนี้ มุ่ง ROE 10 เท่า

HoonSmart.com>>ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) เปิดผลงานเข้าเป้า ไตรมาส 1/68 กำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ลดลง 5.17%จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความสามารถรักษาแนวโน้มของผลประกอบการ ดูแลคุณภาพพอร์ตสินทรัพย์ บริหารต้นทุน ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองลดลง 7% และ 2% จากไตรมาสที่แล้ว หนี้เสียอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ 2.75% สร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น พุ่งเป้า ROE 10 เท่า รักษาอัตราเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูง

ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) รายงานผลงานไตรมาสที่ 1/2568 มีกำไรสุทธิ  5,096 ล้านบาท ลดลง 5.17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 4,992 ล้านบาท

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การรักษาแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568 ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ  2.การดูแลลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และ 3. การดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุน เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น

สำหรับกลยุทธ์การรักษาแนวโน้มของผลประกอบการในปี 2568 ธนาคารยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรอง นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการต่อยอดศักยภาพด้านดิจิทัลและ Data Analytics เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้า ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ภายใต้แนวคิด Ecosystem Play และกระตุ้นรายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อ เพื่อช่วยลดผลกระทบด้านรายได้ ซึ่งยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยขาลงและภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตสินเชื่อ ส่งผลให้ยังคงสามารถรักษาแนวโน้มของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จากระดับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4/2567 มาอยู่ที่ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 หนุนโดยค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ ที่ลดลง 7% และ 2% จากไตรมาสที่แล้ว ตามลำดับ

ส่วนเป้าหมายการดูแลลูกค้า ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจาก 17,000 ราย ในปี 2566 มาสู่ 37,470 ราย ในปี 2567 และกว่า 47,000 ราย ในปัจจุบัน หรือเทียบเท่าว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้มากกว่า 2,300 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งมีลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 35,000 ราย

นายปิติกล่าวว่า ธนาคารดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในเดือนม.ค. 2568 ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี ภายใต้วงเงิน 21,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้เงินทุนส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันการบรรลุเป้าหมายอัตราผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุุ้น (ROE) ที่ 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 8.6% คาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตก็มีความคืบหน้าตามแผนที่ได้วางไว้

แนวโน้มช่วงที่เหลือของปี ธนาคารคาดว่าความขัดแย้งในเวทีการค้าโลกอาจส่งผลกระทบและสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นต่อภาคการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น จึงจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าพอร์ตสินทรัพย์และสถานะทางการเงินยังคงมีความแข็งแกร่ง สามารถรักษาแนวโน้มของผลประกอบการและอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูง

นอกจากนี้ จะยังคงดำเนินการตามแผนการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Transformation) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking หรือ ดิจิทัลแบงก์กิ้งที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ เป็นประโยชน์กับลูกค้า ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมทั้งการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 1,211 พันล้านบาท ชะลอลง 2.4% จากสิ้นปี 2567 เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ การชำระคืนหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ รวมทั้งการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซา  ธนาคารยังคงเน้นการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อย เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน ผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินภายใต้แนวคิด Ecosystem Play ให้กับลูกค้ากลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือน และลูกค้า Wealth ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงมีโมเมนตัมที่ดี เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน (+2% YTD) และสินเชื่อเล่มแลกเงิน (+11% YTD)

ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,298 พันล้านบาท ลดลง 2.3% จากสิ้นปี 2567 เป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ การลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง เช่น เงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากเพื่อการทำธุรกรรมกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ดี เช่น เงินฝาก ttb all free (+4% YTD) ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) อยู่ที่ 93% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนสภาพคล่องที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับธนาคารในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป

ในด้านรายได้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 16,553 ล้านบาท ชะลอลง 3.3% จากไตรมาส 4/ 2567 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและสินเชื่อที่ชะลอตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังคงมีความท้าทาย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,097 ล้านบาท ลดลง 7.0% สะท้อนผลจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนรวมถึงการลดลงจาก high season ในไตรมาส 4 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 43.1% จาก 44.3% ในไตรมาสที่แล้ว

สำหรับค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 4,580 ล้านบาท ลดลง 2.4% จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมาเป็นผลจากภาพรวมด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงบริหารจัดการได้ดีและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าที่ลดลง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.75% ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.9% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 150%

ด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5% และ 18.2% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1

บล.กรุงศรีมองกำไรของ TTB ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด สาเหตุที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะรายได้ดอกบี้ย (NII) ลดลง -8% จากสินเชื่อหดตัว -2.4% ทั้งสินเชื่อรายใหญ่ SME และรายย่อย นอกจากนั้น NIM ที่ ่ 3.13% ลดลงจากระดับ 3.24% ทั้งนี้กำไรในไตรมาสที่ 1 คิดเป็น 24% ของกำไรสุทธิทั้งปีคาดที่  2.13  หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น  +1%  เบื้องต้นประมาณการมี downside จาก GDP คาดที่ 2.4-2.7%และดอกเบี้ยนโยบายคาดที่ 2.0% มีโอกาสต่ำกว่าคาด

“คงคำแนะนำ ซื้อ และคงมูลค่าเหมาะสมปีนี้ที่   2.20 บาท เพราะมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 9,400 ล้านบาท สามารถใช้ได้ถึงปี  2571 และการตั้งสำรองน้อยลง ช่วยหนุนกำไรของปีนี้  รวมถึงปันผลต่อปีสูง คาดอัตราผลตอบแทนที่ 7% โดยครึ่งหลังปีก่อนประกาศจ่าย
0.065  บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่  3.3% ขึ้น  XD วันที่  25 เม.ย.นี้ “บล.กรุงศรีระบุ

ด้านบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์มองกำไรของ TTB ต่ำกว่าคาดการณ์ ยังคงรอการ update ใน analyst meeting บ่ายวันนี้ แต่ยังเชื่อราคาปัจจุบันยังมี upside จากราคาเป้าหมาย  2.17 บาท อยู่ที่ 12% และถือเป็นหุ้นปันผลสูงสม่ำเสมอ แนะนำซื้อลงทุน