HoonSmart.com>>แบงก์ชาติเตรียมทบทวนตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ 30 เม.ย.นี้ จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.5% หลังภาษีนำเข้าสหรัฐฯชัดเจนมากขึ้น ชี้นโยบายการค้ากระทบเศรษฐกิจไทย 5 ด้าน ตลาดเงิน การลงทุน ส่งออก การแข่งขันเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจคู่ค้า แนะรับมือสินค้านำเข้า ก่อนหน้านี้ SCB EIC หั่นเป้าเศรษฐกิจโตเพียง1.5% ค่ายทิสโก้คาด 1.5-2% ด้านนายกรัฐมนตรีหารือ “อันวาร์” ผนึกอาเซียนรับมือภาษีโหด ทีมเจรจาไปสหรัฐฯ 23 เม.ย. ด้านหุ้นบวกแต่วอลุ่มไม่ถึง 3 หมื่นล้าน
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย วิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย ว่า ในระยะสั้นกระทบต่อการลงทุนบางส่วนชะลอ ขณะที่ผลของ tariff ต่อการส่งออกจะชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี และผลกระทบขึ้นอยู่กับภาษีที่ไทยจะถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ จากนโยบายทางด้านภาษี ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตลดลง จากเดิมที่คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จะเติบโตมากกว่า 2.5% ต้องมีการทบทวนตัวเลขใหม่ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ เนื่องจากเศรษฐกิจอาจเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่อาจจะกระทบเพิ่มขึ้น

ด้านอัตราเงินเฟ้อในไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากแรงกดดันด้านอุปทาน เช่น ราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าที่ปรับลดลง ขณะที่แรงกดดันด้านอุปสงค์ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยในไตรมาสแรกของปีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 1% ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
สำหรับ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมีทั้งหมด 5 ด้าน ประกอบด้วย
1. ตลาดการเงินไทย โดยรวมสภาพคล่องและกลไกการทำธุรกรรมยังเป็นไปตามปกติ แต่ต้องติดตาม ผลกระทบต่อภาวะการเงินในประเทศในระยะต่อไป ขณะที่ตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย เผชิญกับความผันผวนอย่างต่อเนื่อง หลังจากนักลงทุนเริ่มเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดกังวลต่อภาวะเงินเฟ้อ แต่พันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงมีเสถียรภาพและไม่ได้รับผลกระทบมากนัก สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง และระดับเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูง ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อตลาดการเงินในประเทศ
“กลไกตลาดการเงินของไทยยังเป็นปกติอยู่ ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้นกู้ ทั้งที่เป็นนักลงทุนไทย และต่างประเทศ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้า และการระดมทุนในตลาดหุ้นกู้ก็ยังเป็นไปตามปกติ เงินไหลเข้าและไหลออกไม่ได้ผิดปกติไปจากช่วงที่ผ่านมา แต่ตลาดการเงินโลกคาดว่าจะยังคงผันผวนต่อไป เพราะเรื่องของภาษีการค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเครดิตของผู้ส่งออกไทย ที่ส่งไปยังสหรัฐในสัดส่วนที่สูง”นายสักกะภพ กล่าว
2. การลงทุน พบว่าการตัดสินใจผลิตและลงทุนหยุดชะงักบางส่วน ซึ่งในระยะยาวต้องรอดูว่า 5 กลุ่มหลักๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษี ประกอบด้วย อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เครื่องจักร และสินค้าเกษตร มีมูลค่าเงินลงทุน 7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 8.3% ของยอดการอนุมัติจากบีโอไอ หรือ 3% ของการลงทุนเอกชนไทย ต้องรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้า ว่ากลุ่มนี้จะชะลอ หรือ เลื่อน หรือ ยกเลิกการลงทุนหรือไม่

“เราได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการบางส่วน เห็นว่าเขาชะลอการผลิตและการลงทุน เพราะต้องรอหลัง 90 วันผ่านพ้นไป ธุรกิจเขาจะเจอภาษีมากน้อยแค่ไหน ซึ่ง 2 ด้านหลัก คือ ตลาดการเงิน และการลงทุนนี่ เห็นผลกระทบแล้ว เป็นเรื่องที่ทางเราต้องติดตามต่อไป “นายสักกะภพ กล่าว
3. การส่งออก ระยะสั้นยังไม่กระทบในเชิงลบ แต่จะเห็นการเร่งส่งออกบางส่วนในไตรมาส 2 ปี 2568 [เช่น อาหารแปรรูป) ส่วนระยะต่อไปคาดว่าไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง และจะเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศคู่แข่ง ที่อาจถูกขึ้นภาษีน้อยกว่าการส่งออกสินค้าของไทยที่ไปเป็น supply chain ของโลก และส่งออกต่อไปสหรัฐฯ ชะลอลง

“ผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมจะไม่เท่ากัน กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐมาก จะได้รับผลกระทบมาก อย่าง 5 กลุ่มหลัก ซึ่งการส่งออกที่ลดลงจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือจีดีพี”นายสักกะภพ กล่าว
4. การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น การนำเข้าเพิ่มขึ้น และการแข่งขันในตลาดส่งออกของไทยรุนแรงขึ้น ช้าเติมการผลิตบาง sector ของไทย เช่น กลุ่มโลหะ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่การบริโภคเติบโต แต่การผลิตภายในประเทศไม่โต เพราะมีการนำเข้าค่อนข้างสูง

5. เศรษฐกิจคู่ค้า การส่งออกโดยรวมและรายรับการท่องเกี่ยวอาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว เงินเฟ้อชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน
“2 ด้านแรก หรือ 2 ช่องทาง เห็นผลกระทบไปแล้ว เหลืออีก 3 ช่องทาง จะเห็นผลกระทบชัดเจนในครึ่งปีหลังและจะทอดยาวถึงปีหน้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจคู่ค้า และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จะกระทบต่อการส่งออกโดยรวม”นายสักกะภพ กล่าว
แนวทางการรับมือ/การปรับตัว
แนวทางการรับมือของ ธปท. จะดูแลให้การทำงานของกลไกตลาดการเงิน (market functioning) ทั้งการระดมทุน สภาพคล่อง ให้ดำเนินไปเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง ติดตามสถานการณ์ภาพรวมอย่างใกล้ชิดและโอกาสที่จะเกิด disruption ในกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งออกไปสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ยังได้เสนอแนวทางการรับมือในระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นรัฐบาลควรมีมาตรการรับมือทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศและการป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ผ่านไทย (transshipment) ที่ต้องมีความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ควรมีการกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้า กระบวนการป้องกันการทุ่มตลาดต้องทำให้เกิดความรวดเร็ว และเตรียมแนวทางสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
ส่วนระยะยาว ควรให้ความสำคัญ (double down) กับการขยายตลาดและสร้าง supply chain โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาค เพื่อบริหารความเสี่ยง และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ปรับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุน เพื่อให้แข่งขันในห่วงโซ่อุปทานโลกได้ รวมถึงการต่อยอดของภาคอุตสาหกรรมที่ไทยทำได้ดีอยู่แล้ว เช่น เกษตรอาหาร การท่องเที่ยว เวลเนส เมดดิคัล การปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ
ค่าเงินบาทแข็งตามภูมิภาค
นายสักกะภพ กล่าวถึง กรณีที่ค่าเงินบาทแข็ง เป็นการแข็งค่าที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ไม่ได้พบสัญญาณผิดปกติไปจากปัจจัยพื้นฐาน ในส่วนของแบงก์ชาติมีการเข้าไปดูแลไม่ให้เกิดความผันผวนจนเกินไป
ขณะที่ ภาษีจะกระทบต่อภาคการผลิต ที่จะต้องไปปรับโครงสร้างการผลิต การขยายตลาด จะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจปี 2568 จะเติบโตชะลอลงเหลือ 1.5% (เดิม 2.4%) จากทั้งสงครามการค้าและแผ่นดินไหว พร้อมคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มอีก 3 ครั้งไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี (เดิม 1.50%) เพื่อดูแลเศรษฐกิจที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนสูง
ส่วนค่ายทิสโก้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 1.5-2% ขึ้นอยู่กับผลของการเจรจาต่อรองอัตราภาษีกับสหรัฐฯ และผลกระทบข้างเคียงในภูมิภาค
ทางด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการหารือกับดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน ว่า มี 3 เรื่องหลัก คือ1. การก่อสร้างสะพานสุไหงโกลก คาดจะแล้วเสร็จในปี 2570 2. ได้หารือความสงบในพื้นที่ภาคใต้ และ3.การขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อาเซียนจะรวมพลังกันได้อย่างไรบ้าง และแต่ละประเทศจะมีทางออกอย่างไร แต่การรวมพลังของอาเซียนยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด
ส่วนกรณีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะเดินทางไปพูดคุยกับระดับรัฐมนตรีสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ ไทยจะนำข้อต่อรองกับสหรัฐฯค่อนข้างมีความแข็งแรง และมั่นใจว่าเป็นส่งผลบวกและเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ เชื่อว่าน่าจะเป็นผลดี ตอนนี้ภาคเอกชนที่ไปลงทุนในต่างประเทศก็เดินทางไปด้วยตนเอง และหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอาจทำได้ดีกว่าเดิม หรือไม่ต้องเสี่ยงเท่าเดิม
หุ้นไทยวันที่ 17 เม.ย. 2568 ดัชนีปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับ 1,141.28 จุด บวก 2.38 จุด หรือ +0.21% ระหว่างวันขึ้นสูงสุดแตะ 1,145.19 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายเพียง 29,808.44 ล้านบาท มีแรงซื้อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดการณ์กำไรเติบโต และหลังขึ้น XD แล้ว เช่น SCB ,KTB
