SHREIT เตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมจองซื้อ ให้สิทธิจองซื้อในอัตรา 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.5881 หน่วยทรัสต์ใหม่ที่เสนอขาย ช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ 9.40 – 9.55 บาทต่อหน่วย นำเงินลงทุน 2 โรงแรมต่างประเทศ
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบต่ออายุได้เพื่อธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่า สตราทีจิก ฮอสพิทอลลิตี้ หรือ SHREIT ได้จัดสรรหน่วยทรัสต์ที่ออกและเสนอขายเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อปรากฎในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ตามสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ในวันที่ 23 พ.ย. 2561 จำนวน 207.50 ล้านหน่วย หรือประมาณ 50% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ที่เสนอขายเพิ่มเติม ในสัดส่วน 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.5881 หน่วยทรัสต์ที่เสนอขายเพิ่มเติม 1 โดยกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น 9.40 – 9.55 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ จะเปิดให้นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไปจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมเช่นกัน
สำหรับการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมในการเพิ่มทุนครั้งที่หนึ่งนี้ จะกระทำได้ต่อเมื่อแบบคำขอการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์และหนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้แล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับราคาเสนอขายหน่วยทรัสต์สุดท้าย จำนวนหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มทุน ช่วงเวลาการเสนอขายหน่วยทรัสต์ และช่องทางการจองซื้อหน่วยทรัสต์จะถูกแจ้งให้ทราบอีกครั้งก่อนหรือภายในวันที่แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์และหนังสือชี้ชวนมีผลบังคับใช้
นายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตราทีจิก พร็อพเพอร์ตี้ อินเวสท์เตอร์ส จำกัด ในฐานะผู้จัดการทรัสต์ SHREIT กล่าวว่า ปัจจุบัน SHREIT อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่ออนุมัติแบบคำขอเสนอขายหน่วยทรัสต์ที่ออกใหม่ แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์และร่างหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหน่วยทรัสต์ เพื่อเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 415 ล้านหน่วยและเป็นการกู้ยืมเงินอีกไม่เกินประมาณ 67.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,363 ล้านบาท เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในสินทรัพย์โรงแรมใหม่ 2 แห่งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าสินทรัพย์รวมกันไม่เกินประมาณ 173.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 6,084 ล้านบาท
“คาดว่าภายหลังจากที่ SHREIT เข้าลงทุนเพิ่มเติมแล้วเสร็จจะมีขนาดมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มเป็นกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ SHREIT มีขนาดทรัพย์สินใหญ่ที่สุดในกองทรัสต์ที่ลงทุนในโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” นายปธาน กล่าว
จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์โรงแรมในภูมิภาคอาเซียนอีก 2 แห่ง ได้แก่ 1. การลงทุนในสิทธิการเช่าโรงแรม Sofitel Bali Nusa Dua Beach Resort บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาว จำนวนห้องพักรวม 398 ห้อง และบ้านพักวิลล่าจำนวน 17 หลัง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและห้องประชุมจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ รองรับการประชุมระดับนานาชาติได้ และ 2. ลงทุนกรรมสิทธิ์ในโครงการโรงแรม Hilton Garden Inn Kuala Lumpur กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่ตั้งอยู่ในเขต Chow Kit ใกล้กับ Kuala Lumpur City Centre (KLCC) ซึ่งเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยมีห้องพักรวม 532 ห้อง มาตรฐานระดับ 4 ดาว ซึ่งเป็นโรงแรม แบรนด์นานาชาติแห่งเดียวในย่านนั้น
สำหรับสินทรัพย์ใหม่ทั้ง 2 แห่ง มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลากหลายทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน อินเดียและตะวันออกกลาง โดย 10 ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 4.8% ต่อปี ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวภายในประเทศให้ความนิยมเดินทางท่องเที่ยวมายังเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 12.3% ส่วนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ส่งผลดีต่อจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี
นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า นับตั้งแต่ปลายปี 2560 ที่ SHREIT ได้เข้าลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์แบบต่ออายุได้เพื่อประกอบธุรกิจโรงแรมและสิทธิการเช่าโรงแรม 3 แห่ง ระดับ 3-5 ดาวในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ 1.โรงแรม Pullman Jakarta Central Park ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 317 ห้อง 2.โรงแรม Capri by Fraser ระดับ 4 ดาว มีห้องพักจำนวน 175 ห้อง และ 3.โรงแรม IBIS Saigon South ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว จำนวน 140 ห้อง ในเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ได้สร้างประโยชน์ตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหน่วยมาอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนที่ถือหน่วยทรัสต์ SHREIT ตั้งแต่วันที่เข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะได้รับเงินจ่ายเงินจ่ายตอบแทนจากการลงทุนตลอด 10 เดือน (สิ้นสุดตุลาคม 2561) ทั้งในรูปเงินปันผลและเงินลดทุน รวมทั้งสิ้น 0.5997 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ SHREIT เป็นกองทรัสต์ที่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทโรงแรมที่ให้เงินจ่ายตอบแทนจากการลงทุนติดอันดับต้นๆ ของกองทรัสต์โรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย