“ทรีนีตี้” พลิกโชว์กำไรปี 67 ลุยปรับโครงสร้างทุนเพิ่มความแข็งแกร่ง

HoonSmart.com>> “ทรีนีตี้ วัฒนา” (TNITY) เปิดผลงานปี 67 พลิกกำไร 0.51 ล้านบาท พุ่ง 100.15% จากปี 66 ขาดทุน 353.40 ล้านบาท รายได้รวมโต 112.16% แตะ 645.08 ล้านบาท รายได้ธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเติบโตโดดเด่น 146.61% ค่าธรรมเนียมและบริการโต 60.50% พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างทุนนำเงินสำรองมาล้างขาดทุนสะสม บอร์ดอนุมัติเพิ่มทุนรองรับแจกวอร์แรนต์ให้ผู้ถือหุ้นเดิมและขายนักลงทุนเฉพาะเจาะจงนำเงินลุยธุรกิจสร้างการเติบโต

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยปี 2567 สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จำนวน 0.51 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 100.15% จากปี 2566 ที่ขาดทุนสุทธิ 353.40 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 645.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.16% จากปีก่อนที่ทำได้ 304.05 ล้านบาท

“การที่บริษัทเป็นโฮลดิ้งคัมพานี มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ทำให้โครงสร้างรายได้ของบริษัทไม่ได้พึ่งพารายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว ซึ่งในปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นผันผวนสูง มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 12.71% มาอยู่ที่ 46,551 ล้านบาท ลดลงจากปี 2566 ที่ 53,331 ล้านบาท ส่งผลให้รายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 5.32% โดยทำได้ 120.29 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 127.05 ล้านบาท” ดร.วิศิษฐ์ กล่าว

ขณะที่รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมในการปรับโครงสร้างของบริษัทจดทะบียน (บจ.) รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการขายตราสารหนี้ ทำให้มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่มขึ้นจาก 55.70 ล้านบาท เป็น 89.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 60.50%

นอกจากนี้ยังมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของรายได้จากตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เพิ่มขึ้น 146.61% โดยทำได้ 35.61 ล้านบาท จาก 14.44 ล้านบาท ในปี 2566 จากการเพิ่มบุคลากร ที่ให้บริการลูกค้าด้านแนะนำการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งสวนทางกับปริมาณการซื้อขายของ TFEX ที่ในปี 2567 อยู่ที่ 118.04 ล้านสัญญา ลดลง 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 129.49 ล้านสัญญา

ในส่วนของกําไร และผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินปี 2567 มีกำไรรวม 2.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 237.08 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 48.35 ล้านบาท และเงินปันผล 16.39 ล้านบาท ส่วนการซื้อขายหลักทรัพย์ยังขาดทุน 62.27 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการบันทึกมูลค่าตามตลาดหุ้นที่ลดลง แต่ถือว่าดีขึ้นจากปีก่อน

ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดี และให้บริการกับนักลงทุนแบบครบวงจร และเพื่อเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจในปี 2568 คณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้มีมติอนุมัติปรับโครงสร้างทุนเพื่อความแข็งแกร่ง โดยมีมติให้โอนเงินสำรองตามกฎหมายที่มีอยู่ 100.59 ล้านบาท มาชดเชยการขาดทุนสะสมของบริษัทจำนวน 86.58 ล้านบาททำให้มีเงินสำรองคงเหลือจำนวน 14.01 ล้านบาท เพื่อเตรียมตัวสำหรับการจ่ายเงินปันผลในอนาคตและได้อนุมัติให้ลดทุน จดทะเบียน โดยตัดหุ้นส่วนที่ยังไม่เรียกชำระจำนวน 111.83 ล้านหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 559.19 ล้านบาท หรือลดจากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 1,631.21 ล้านบาท เหลือ 1,072.02 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 214.40 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1,072.02 ล้านบาท เป็น 1,447.23 ล้านบาท หรือเพิ่มทุนจำนวน 375.20 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75.04 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท เพื่อรองรับการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (วอร์แรนต์) TNITY-W2 เป็นหุ้นสามัญ โดยบริษัทจะออกให้ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท จำนวน 53.60 ล้านหน่วย อายุ 2 ปีในอัตราจัดสรร 4 หุ้นสามัญต่อ 1 TNITY-W2 อัตราการแปลง 1 ต่อ 1 ราคาแปลงสภาพ 5 บาทต่อหุ้น

นอกจากนี้ หุ้นเพิ่มทุนจำนวน 21.44 ล้านหุ้น หรือ 107 ล้านบาท จะเสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางด้านฐานทุน รวมไปถึงการหาพันธมิตรที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งการเสนอขายขึ้นอยู่กับการพิจารณาของบริษัทในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยแผนการปรับโครงสร้างทุนครั้งนี้ จะนำเสนอเพื่อขอมติอนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 เมษายน 2568 นี้

“เงินทุนที่ได้รับทั้งจากการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทตามใบสําคัญแสดงสิทธิฯ TNITY-W2 และเงินจากการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนบุคคลในวงจํากัด จะนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทย่อย และเป็นเงินลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและมีรายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลดีต่อผลการดําเนินงานและการดําเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต” ดร.วิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย