HoonSmart.com>>“ทรัมป์” เขย่าตลาดหุ้นทั่วโลกร่วง ขึ้นภาษีแคนาดา เม็กซิโก จีน เจอตอบโต้ ก่อชนวนสงครามการค้า หุ้นไทย ดิ่งต่ำสุดถึง 43.63 จุดหรือมากกว่า 3.32% ก่อนรีบาวด์ ปิดสูงสุดที่ 1,304.27 จุด เกาะกลุ่มเพื่อนบ้าน นักวิเคราะห์เตือนนักลงทุนระวัง ดอกเบี้ยไทยลงไม่ได้ก.พ. แนะซื้อแบงก์ใหญ่ หุ้นใหญ่ราคาทรุดเดินไป เชียร์ CPALL หลีกเลี่ยงหุ้นส่งออก
วันที่ 3 ก.พ. 2568 ตลาดหุ้นโลกจันทร์ทมิฬ ผวาสงครามการค้าเดือด ดาวโจนส์ล่วงหน้าทรุดมากกว่า 650 จุด ตลาดหุ้นในภูมิภาคเปิดร่วงลงแรง ไทยหนีไม่พ้น ดิ่งต่ำสุด 43.63 จุดหรือมากกว่า 3.32% แตะ1,270.87 ก่อนเด้งขึ้น มาปิดที่จุดสูงสุดของวัน 1,304.39 จุด -10.11 จุด
หรือ-0.77% มูลค่าซื้อขายรวม 54,212.17 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยฟื้นจากดิ่งลงเหวลึก หลังจากแรงขายตื่นตระหนก ดัชนีทรุดมากเกินไป เกิดการซื้อหุ้นใหญ่กลับ เช่น CPALL,DELTA และธนาคารขนาดใหญ่ หลังจากตลาดในเอเชียหลายแห่งเริ่มฟื้นตัว สุดท้ายหุ้นญี่ปุ่นทรุดมากที่สุด -2.69% และอินโดนีเซีย -1.73% ส่วนตลาดสหรัฐล่วงหน้าทรุดมากกว่า 650 จุด
นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้เกิด Panic ในช่วงแรกของการเทรดภาคเช้า ดัชนี SET ร่วงไปถึง 3% มองเป็น Overreact จากความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับสงครามการค้า หลังสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก้ แคนาดา และจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ปรับตัวลง 1-2%
ทั้งนี้ ตลาดเปิด gap บริเวณ 1,295-1,310 จุด ตลาดมีโอกาสที่จะรีบาวด์กลับขึ้นไปก่อน สัปดาห์นี้ให้ติดตาม ISM ของสหรัฐในคืนนี้, ตัวเลข PMI ภาคผลิตและบริการของจีน และดุลการค้าเดือนธ.ค.สหรัฐ ที่จะออกมาในวันที่ 5 ก.พ., ติดตามจำนวผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐรายสัปดาห์ และการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 6 ก.พ. ส่วนวันศุกร์ที่ 7 ก.พ.ติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ และฝั่งญี่ปุ่นติดตามการใช้จ่ายภาคครัวเรือน
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวถึงดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรงวันนี้ ในระยะสั้นยังไม่เป็นกังวล แต่อยากให้มองภาพในระยะยาวมากกว่า เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจและเสถียรภาพของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนหนึ่ง มาจากการเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลนอกจากนั้น ในปีนี้รัฐบาลยังอยากเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายลง เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องหารือกับ ธปท. ต่อไป
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนก.พ. คาดว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวลงในช่วงแรก ประเมินแนวรับสำคัญของ อยู่ที่จุดต่ำสุดที่เคยทำไว้แถวบริเวณ 1270-1280 จุด ซึ่งในเชิง Valuation ถือว่าน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นระดับเทียบเท่า PBV 1.22 เท่า เท่านั้น ถูกที่สุดเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่วิกฤติซับไพรม์
ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อหุ้นที่บริเวณแนวรับดังกล่าวนี้ โดยเน้นไปที่กลุ่ม Domestic play ที่ค่อนข้างปลอดภัยจากประเด็นสงครามการค้าที่เกิดขึ้นนี้ กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ มองไปยัง 3 ธีม 1.หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่ราคาปรับลงมาแรง และได้ประโยชน์จากมาตรการ Easy E-Receipt รวมถึงการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น CPALL 2.หุ้นขนาดใหญ่ที่ Valuation ลงมาอยู่ในโซน Trough เมื่อเทียบเคียงกับในอดีต เช่น BDMS, LH, MINT, OR และ 3.กลุ่มธนาคารที่จะได้ประโยชน์ หากดัชนี Free float adjusted market cap weighted index ได้รับความนิยมในตลาดสูงขึ้น ได้แก่ SCB, KBANK, BBL
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล Head of Retail Strategy และ Investment Strategist บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต กล่าวว่าเป้าหมาย SET สิ้นปี 2568 ที่ 1,580 จุด คาดกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด จะเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง สร้างกระแสเงินสดได้ดี สามารถจ่ายเงินปันผลได้สม่ำเสมอ และได้ผลดีจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง “ชอบ” SCB KTB MTC CPALL TRUE CKP ERW SPA MEGA และ DIF
ด้านศูนย์วิจัยกวิกรไทยวิเคราะห์สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าจีนที่ 10% คาดเป็นเพียงอัตราเบื้องต้นที่สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บจากทางจีน โดยสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีมากที่สุด
ขณะที่จะยกเลิกข้อยกเว้นภาษีนำเข้ากับสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน ต่อคน (De Minimis) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัท E-commerce ในจีน
นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นภาษีจีนในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งอัตราภาษีที่จะปรับเพิ่มคาดยังขึ้นอยู่กับการเจรจาและการทำข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และจีน

