CGSI : ยก MTC เป็น Top pick ไฟแนนซ์ กำไรโตสุด

HoonSmart.com>> บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนลฯหรือ CGSI เชียร์ MTC เป็นหุ้นเด่นไฟแนนซ์ กำไรโตที่สุดปี 68-69  จากสินเชื่อ ต้นทุนดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดแล้ว ธุรกิจจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อโฉนดที่ดินไปได้สวย ท่ามกลางแบงก์ระมัดระวังการขยายสินเชื่อ ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถบรรทุกยังคงเปราะบาง

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์ 3 บริษัท ที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯศึกษา คือ MTC, SAWAD และ TIDLOR มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อรวมกัน 72.6% สิ้นไตรมาส 3/67  รวมถึงบริษัทลูกของธนาคารมีการขยายพอร์ตสินเชื่อตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และบางบริษัทเตรียมจะทำ IPO

นอกจากนี้ มองว่าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อโฉนดที่ดิน จะเป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนเหมาะสม เนื่องจากมีการกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ที่เข้มงวดและคิดอัตราดอกเบี้ยสูง จึงมองว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้กลุ่ม นอนแบงก์มีสินเชื่อเติบโตในปี 2568-2569

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า ผู้ให้บริการสินเชื่อนอนแบงก์ที่ศึกษา จะมีสินเชื่อขยายตัวอัตรา 10.0-13.3% ในปี 2568-2569 เทียบกับอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 26-51% ในปี 2560 ส่วน MTC น่าจะมียอดสินเชื่อเติบโตสูงสุดในกลุ่ม น่าจะมีต้นทุนดอกเบี้ยแตะจุดสูงสุดในปี 2567 และจะเริ่มลดลงตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2568 จาก การปรับอัตราดอกเบี้ยเมื่อมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่แทนชุดเดิม รวมทั้งผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ดังนั้น จึงประมาณการว่าผู้ประกอบการนอนแบงก์ จะมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) เพิ่มขึ้น 0.03-0.13%ในปี 2568-2569 และมีกำไรก่อนตั้งสำรอง (PPOP) เติบโต 5.7-15.9% นำโดย MTC ที่คาดจะมี PPOP เติบโต 15.6-15.9%

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า คุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและสินเชื่อโฉนดที่ดินน่าจะทรงตัวในปี 2568-2569 แต่สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถบรรทุกยังคงเปราะบาง เนื่องจากราคารถจักรยานยนต์และรถบรรทุกมือสองอยู่ในขาลง ฝ่ายวิเคราะห์ฯจึงระมัดระวังกับคุณภาพสินทรัพย์ของ SAWAD และ TIDLOR เพราะทั้งสองบริษัทมีสัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อค่อนข้างสูงที่ 31% และ 17% ของยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 3  ตามลำดับ

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า ดัชนี SETFIN ซื้อขายที่ P/BV 1.6 เท่า และ P/E 12.7 เท่าในปี 2567 หรือ -1SD ของ P/BV และ P/E เฉลี่ยหกปีในอดีต จึงแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) ในกลุ่มนี้และเลือก MTC เป็นหุ้น Top pick เพราะน่าจะมี PPOP และ EPS เติบโตสูงกว่าคู่แข่งในปี 2568-2569 อีกทั้งเชื่อว่าเครือข่ายสาขาและพอร์ตสินเชื่อขนาดใหญ่ทำให้ MTC ได้เปรียบการแข่งขัน ทั้งด้านการหาลูกค้าใหม่, การเพิ่มยอดสินเชื่อ, การบริหารต้นทุนดอกเบี้ย, การติดตามหนี้และการขายสินทรัพย์ยึด

สำหรับ MTC มีการประเมินมูลค่าที่ P/BV 2.33 เท่า และ P/E 14.1 เท่าในปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึง ROE ที่สูงกว่าผู้ประกอบการอื่นในอัตรา 17.8-18.5% ในปี 2568-2569 อย่างไรก็ตาม กลุ่มนี้จะมี downside risk หากราคารถยนต์และรถจักรยานยนต์มือสองยังปรับลงต่อเนื่อง รวมถึงรายได้เกษตรกรลดลงและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น ส่วน upside risk อาจมาจากมาตรการแจกเงินของรัฐที่ส่งผลดีมากกว่าคาด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย