HoonSmart.com>>บลจ.กสิกรไทย (KAsset) เปิดผลงานปี 67 มูลค่าสินทรัพย์เติบโตแตะ 1.7 ล้านล้านบาท ปลื้มเงินใหม่ไหลเข้าลงทุนกองทุนรวมสูงถึง 1 แสนล้านบาท นักลงทุนตอบรับกลยุทธ์ Core Port กองทุนผสมจัดพอร์ตลงทุนผ่าน K-WealthPLUS Series เดินเกมรุกต่อปี 68 ปั๊ม AUM โต 1 แสนล้านบาท พร้อมมุมมองลงทุนปีหน้ายังมองบวก “หุ้นสหรัฐฯ” แต่อัพไซด์จำกัด แนะกระจายลงทุนหุ้นทั่วโลก กองรีทได้อานิสงส์ Data Center ส่วน “หุ้นไทย” วางเป้าปีหน้า 1,500 – 1,550 จุด เน้นหุ้นกลุ่มปันผลสูง
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด หรือ KAsset เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2567 นี้ เติบโตได้ค่อนข้างดี มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าลงทุนสุทธิ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัท ส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้แตะระดับ 1.7 ล้านล้านบาท เติบโตจากปี 2566 โดยเงินไหลเข้าในปีนี้มาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กองทุนผสม K-WealthPLUS Series จัดพอร์ตกระจายลงทุนแบบ Core Port กระจายหลายสินทรัพย์ทั่วโลกและเสริมด้วย Satellite Port ซึ่งมี 3 กองทุนให้เลือกตามระดับความเสี่ยง ได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้า โดยมีเงินไหลเข้าลงทุน 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยของ 3 กองทุนอยู่ที่ประมาณ 6-9%
นอกจากนี้ กองทุนตราสารหนี้ยังมีเงินไหลเข้าลงทุนมูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะตราสารหนี้ไทย รับดอกเบี้ยขาลง ซึ่งผลตอบแทนประมาณ 3.2% (ตราสารหนี้อายุ 2-3 ปี) โดยการลงทุนเน้นตราสารหนี้คุณภาพดี และยังคงแนะนำให้นักลงทุนที่ลงทุนในเทอมฟันด์หรือฝากเงิน กระจายลงทุนมายังกองทุนตราสารหนี้ อายุยาวขึ้นประมาณ 2-3 ปี ซึ่งยังมองเป็นช่วงที่ดีของการลงทุน กองทุนที่แนะนำ ได้แก่ K-FLIXPLUS-A ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน 3.3% ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้เองก็น่าสนใจ แต่มีต้นทุนในการทำเฮดจิ้งค่าเงินเมื่อแปลงกลับเป็นผลตอบแทนในรูปเงินบาทแล้วเหลือไม่มาก
ส่วนกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ปีนี้มีเงินไหลเข้าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกองทุนหุ้นเวียดนาม หุ้นอินเดียและสหรัฐฯ ที่ดึงเงินลงทุนจากนักลงทุนรุ่นใหม่ได้
“ปัจจุบันบลจ.กสิกรไทย มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในธุรกิจกองทุนรวม และล่าสุดขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มกองทุนรวมผสม จากการผลักดันของทีมผู้บริหารและทีมงานในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการสนับสนุนของธนาคารกสิกรไทย”นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2568 คาดว่า AUM จะแตะระดับ 1.8 ล้านล้านบาท ตามแผนในการเติบโต 3 ปี ผลักดัน AUM แตะระดับ 2 ล้านล้านบาท ในปี 2570
สำหรับกลยุทธ์ในปี 2568 มี 4 แผนงาน โดย 1.ผลักดันกองทุนผสม WealthPLUS Series ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันลูกค้ากองทุนรวม 1 ล้านรายของธนาคารกสิกรไทย มีการจัดพอร์ตลงทุนผ่านกองทุนผสม WealthPLUS Series เพียง 10% เท่านั้น จึงรุกในการเผยแพร่แนวคิดนี้ไปยังกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น เพื่อให้เห็นข้อดีของการกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังหลายสินทรัพย์ทั่วโลก ช่วยตอบโจทย์ลูกค้าส่วนใหญ่มีพอร์ตกระจุกตัวไม่อยู่หุ้นไทยก็หุ้นจีน ซึ่งผลตอบแทนก็จะไม่ไปไหน จึงแนะนำการลงทุนแบบ Core Port
2.มีแผนเพิ่ม Satellite Port ให้มากขึ้น จากปีนี้แนะนำกองหุ้นเวียดนาม ผลตอบแทนปีนี้สูง 14% ซึ่งใน Satellite Port จะมีการทบทวนพอร์ตเดือนละครั้งแต่ประกาศไตรมาสละครั้ง และในปีหน้ามองโอกาสในกองทุน K PROPI ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานในไทยและสิงคโปร์ ซึ่งมีการลงทุนใน DATA CENTER ทั่วโลก
3.แผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบ Core Port ไปยังลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 5 แสนคน ส่วนใหญ่พอร์ตลงทุนกระจุกตัวแต่ในหุ้นไทย อาจไม่ได้สร้างผลตอบแทนในช่วงเกษียณ
4.ปรับระบบงานเพิ่มประสิทธิภาพ โดยนำเทคโนโลยี AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น
นายวิน กล่าวว่า สำหรับมุมมองการลงทุนในปี 2568 ในส่วนของหุ้นต่างประเทศยังมองปัจจัยเรื่องของดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อยู่ในขาลง และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มเติบโต รวมถึงการอัดฉีดมาตรการเพิ่มเติมของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เช่น เรื่องการลดภาษี ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นแรงมากแล้ว อัพไซด์จึงไม่มาก P/E ขึ้นมาที่ 22 เท่า แต่ไม่น่าเกิดฟองสบู่ จึวแนะนำลงทุนอย่างระมัดระวังและอาจรอจังหวะซื้อในช่วงตลาดย่อตัว โดยยังคงแนะนำกระจายพอร์ตลงทุนหุ้นทั่วโลก
นอกจากนี้มองดอกเบี้ยขาลงเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในไทยและสิงคโปร์ ซึ่งกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ยังมีการเติบโตที่ดี รวมทั้งสำนักงานออฟฟิศในสิงคโปร์เติบโต
ส่วนตลาดหุ้นไทยในปี 2567 คาดว่าดัชนีจะไม่ถึงระดับ 1,400 จุด ส่วนปี 2568 มองเป้าหมายดัชนีที่ 1,500 – 1,550 จุด คาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% กำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) เติบโต 5-7% หรือกำไรต่อหุ้น 95 บาท โดยในช่วงต้นปีดัชนีจะเคลื่อนไหว Sideways แถว 1,300-1,450 จุด ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลอีกครั้ง ส่วนกลุ่มหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ หุ้นปันผลสูงเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น โดยการลงทุนเน้นคุณภาพของบริษัทเป็นหลัก