ดับบลิวเอชเอ แรงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เตรียมเปิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 10 รองรับลูกค้า EEC ใกล้ปิดดีลรายใหญ่ซื้อดิน-เช่าคลังสินค้า บุ๊ครายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากอง WHART และ HREIT เข้ากระเป๋าปลายปีนี้
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดนิคมอุตสาหกรรม แห่งที่ 10 ในจังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 2,197 ไร่ เพื่อรองรับนโยบายโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯในการมุ่งส่งเสริมพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) ของประเทศ อาทิ อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาครัฐให้การสนับสนุน ได้แก่ อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
ส่วนการให้เช่าคลังสินค้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 2-3 ราย เตรียมเช่าพื้นที่ประมาณ 100,000 ตารางเมตร คาดว่าจะสามารถสรุปความชัดเจนได้ในเร็วๆนี้ หากเป็นไปตามที่คาดการณ์ จะส่งผลให้บริษัทฯ มียอดการเช่าพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้นทะลุเป้าที่วางไว้ 250,000 ตารางเมตร หลังจากเดือนก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทฯได้เซ็นสัญญาในการเช่าคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง จำนวน 130,000 ตารางเมตร
นางสาวจรีพร กล่าวว่า บริษัทกำลังเจรจาลูกค้ารายใหญ่ที่สนใจซื้อพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม อีก 4-5 ราย รวมถึงผู้ประกอบการอื่นๆ อีกประมาณ 20 ราย คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
นอกจากนี้ในไตรมาส 4 ของทุกปี บริษัทฯ เตรียมขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ในปีนี้ เสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 3 มูลค่าทรัพย์สิน 4,464.5 ล้านบาท พร้อมเปิดขายให้กับผู้ถือหน่วยเดิม และนักลงทุนทั่วไป กลางเดือนถึงปลายเดือนพ.ย.นี้ คาดว่าจะโอนทรัพย์สินแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนธ.ค.นี้
ขณะที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เหมราช (HREIT) อยู่ระหว่างการเรียกประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์สำหรับการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 2 มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 477 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้เช่นเดียวกัน
ทางด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2561 บริษัทมีกำไรสุทธิ 363 ล้านบาท ลดลง 142 ล้านบาทหรือประมาณ 28% เกิดจากรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า 1,757 ล้านบาท ลดลง 18% รวมถึงยอดการโอนที่ดินลดลง ขณะที่รายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นรายได้ประจำยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนผลงานรวม 9 เดือนปีนี้กำไรสุทธิ 1,445 ล้านบาท ลดลง 113 ล้านบาทหรือ ประมาณ 7% จากที่มีกำไรสุทธิ 1,558 ล้านบาทในช่่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 1,454 ล้านบาท เติบโตกว่า 17% จากการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากอง HREIT ที่มีมูลค่าทรัพย์สิน 1,590 ล้านบาท ในช่วงต้นปี รวมทั้งปริมาณการขายและให้บริการน้ำที่เพิ่มขึ้น และโรงไฟฟ้า SPP ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2560 เป็นต้นมา จำนวน 5 แห่งและการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของต้นทุนทางการเงินกว่า 26%
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการออกหุ้นกู้ มูลค่า 3,500 ล้านบาท เสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ แบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 2 ปี 3.5 ปี 5 ปี และ 7 ปี โดยมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.81% และมีอายุเฉลี่ย 5.9 ปี ถือเป็นการลดความเสี่ยงของความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว