ดาวโจนส์ปิดลบ 267 จุด รอผลประชุมเฟด

HoonSmart.com>>3 ตลาดหุ้นสหรัฐปิดร่วงลง ดาวโจนส์ลบ 267 จุด ติดต่อกัน 9 วัน รอผลประชุมเฟด ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 0.25% ส่วนปีหน่ามีความไม่แน่นอน จากข้อมูลเศรษฐกิจแกร่ง ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง ราคาน้ำมันดิบก็ลดลง 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 17 ธ.ค. 2567 ปิดที่ 43,449.90 จุด ลดลง 267.58 จุด หรือ -0.61% เป็นการปรับลงติดต่อกันวันที่ 9 เนื่องจากนักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุน ก่อนการประกาศนโยบายครั้งสุดท้ายของปีของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) หลังจากข้อมูลทางเศรษฐกิจบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,050.61 จุด ลดลง 23.47 จุด, -0.39%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,109.06 จุด ลดลง 64.83 จุด, -0.32%

การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์มากจากการหมุนเข้าในหุ้นเทคโนโลยีและออกจากหุ้นเศรษฐกิจเก่าบางส่วนที่ปรับขึ้นในเดือนพฤศจิกายนหลังโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งมาอีกครั้ง ซึ่งในหุ้นเหล่านี้มีสัดส่วนในดัชนีมากกว่าหุ้นเทคโนโลยี

หุ้น Tesla บวก 3.6% จากนักวิเคราะห์ของบริษัท Mizuho ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของเทสลา แต่หุ้น Broadcom ลดลง 3.9%
หุ้น Nvidia ลดลง 1.22% ส่งผลให้สู่เขตปรับฐาน (Correction Territory) แล้ว

เดวิด รัสเซลล์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การตลาดระดับโลกของ TradeStation กล่าวว่า ตลาดกำลังตื่นตัวกับความจริงที่ว่าการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์อาจไม่ส่งผลดีต่อหุ้นเท่าที่คาดหวังไว้ ภาคการเงินและอุตสาหกรรม ซึ่งปรับขึ้นหลังทรัมป์ชนะ ตอนนี้อาจต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนทางการค้า และกลุ่มเฮลธ์แคร์ก็เผชิญกับความเสี่ยงทางการเมืองที่มากที่สุดเทียบกับช่วงที่ผ่านมา

ความกังวลที่ทำให้มีการทำกำไรในหุ้นกลุ่มที่ไม่ใช่เทคโนโลยีนั้น มาจากการตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของเฟดในวันพุธ เครื่องมือ Fed Watch ของกลุ่ม CME บ่งชี้ว่าเทรดเดอร์มองว่ามีโอกาส 95% ที่จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% อย่างไรก็ตาม มีความกังวลในหมู่นักลงทุนและนักเศรษฐ ศาสตร์ว่าเฟดอาจทำผิดพลาดและเสี่ยงต่อการเกิดฟองสบู่ตลาดหุ้นหรือทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น

นอกจากนี้ข้อมูลค้าปลีกที่ดีกว่าคาดยิ่งทำให้กังวลมากขึ้นว่าเฟดอาจจะดำเนินการโดยไม่จำเป็น

กระทรวงพาณิชย์รายงาน ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่า 0.6% ที่นักวิเคราะห์คาด จากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนตุลาคม และเมื่อเทียบรายปี เพิ่มขึ้น 3.8% จากที่เพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือนต.ค.

สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ สรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจ ของเฟด และความเห็นของประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 มากน้อยแค่ไหน เฟดอาจชะลอการผ่อนคลายภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งและอัตราเงินเฟ้อที่หนืด และจากคาดการณ์ที่ว่าฝ่ายบริหารของทรัมป์จะกำหนดนโยบายเพื่อกระตุ้นการเติบโตและอาจทำให้ราคาสูงขึ้นอีกครั้ง

ด้านตลาดยุโรปปิดลบ ด้วยแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารที่ร่วงลง ขณะที่นักลงทุนรอผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางของหลายประเทศหลักในสัปดาห์นี้

ดัชนี STOXX 600 ลงไปที่ระดับต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์
ดัชนีกลุ่มน้ำมันและก๊าซลดลง 1.3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจของจีนทำให้กลับมามีความกังวลต่ออุปสงค์

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากกลุ่มธนาคารในยุโรปที่ลดลง 1.8% โดยธนาคารสเปน เช่น Santander และ Sabadell นำการปรับลดลง
แม้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25%ในวันพุธ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การผ่อนคลายในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดูเหมือนจะทรงตัว นอกจากนี้ยังจับตาการประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีกำหนดในวันพฤหัสบดีซึ่งคาดว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ย

สำหรับการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจเมื่อคืนนี้ สถาบัน Ifo รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีในเดือนธันวาคมแย่ลงเกินคาด ผลสำรวจจากสถาบัน ZEW บ่งชี้ว่า นักลงทุนมีมุมมองทางบวกมากขึ้น โดยส่วนใหญ่คาดหวังกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเยอรมนีหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ก.พ.2025

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 513.66 จุด ลดลง 2.17 จุด, -0.42%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,195.20 จุด ลดลง 66.85 จุด, -0.81%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,365.70 จุด เพิ่มขึ้น 8.62 จุด, +0.12%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 20,246.37 จุด ลดลง 67.44 จุด, -0.33%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 63 เซนต์ หรือ 0.89% ปิดที่ 70.08 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 72 เซนต์ หรือ 0.97% ปิดที่ 73.19 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
———————————————————————————————————————————————————–