HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯเผย Forward EPS ของ SET Index ปี ’68 เพิ่มขึ้น ผู้บริหาร บจ. 75% พร้อมขยายการลงทุน ลุ้นกลุ่มก่อสร้าง การลงทุนใหม่ๆ ได้อานิสงส์จากงบค้างท่อ+งบปี’68 หวังกองทุน Thai ESG ทะลัก 1 หมื่นล้าน ดันหุ้นสิ้นปี
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แนวโน้ม Forward EPS หรือ อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า ของ SET index ในปี 2568 คาดว่าจะสูงกว่าปี 2567 และสูงกว่าปี 2566 ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันไดของกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานที่ดี และเมื่อมีการส่งเสริมเพิ่มเติมจะทำให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น
“ส่วนไตรมาส 3 ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานไม่ดีตามคาด ผลจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ส่งผลให้รายได้ของบริษัทน้ำมันลดลงฉุดรายได้รวมลดลงไปด้วย แต่ถ้าแยกผลกระทบน้ำมันออกไป โดยรวมยอดขายโต 11% หากปี 2568 ราคมน้ำมันเป็นขาขึ้นภาพก็จะดีขึ้น”ดร.ศรพล กล่าว
ดร.ศรพล กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจก่อสร้างและกลุ่มที่มีการลงทุนใหม่ๆ จะได้รับประโยชน์จากงบรายจ่ายด้านการลงทุนของภาครัฐ ที่จะมีงบของปีงบประมาณก่อนที่เบิกจ่ายล่าช้า บวกกับงบปี 2568 ทำให้มีงบลงทุนมากกว่าทุกๆ ปี ซึ่ง
การที่ปี 2568 จะมีงบค้างท่อจากงบปี 67 ทำให้มีเงินลงทุนในปีหน้ามากเป็นพิเศษซึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนใหม่ๆ
ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ยังมองเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีหน้าโต 2.8% โดยตัวขับเคลื่อนมาจากการลงทุนของภาคเอกชนและการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก
ผู้บริหาร บจ.75% ลงทุนเพิ่มปีหน้า
ด้านผลสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ปี 2568 ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย 75% ของ CEO วางแผนขยายการลงทุนใน 12 เดือนข้างหน้า ส่วนใหญ่ยังมองว่าภูมิภาคอาเซียนยังเป็นโอกาสหลักในการลงทุน จากการย้ายฐานการผลิตของจีน
สำหรับในประเทศไทย ปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุนคือการท่องเที่ยวเริ่มมีการฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐจะมีออกมาอย่างเห็นได้ชัดในปี 2568
อย่างไรก็ตาม CEO มีความกังวลเรื่องการแข่งขันจากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น ยังมีความกังวลเรื่องยอดขายที่ชะลอตัว และการชำระเงินของลูกหนี้การค้า
ด้านการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ ยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นไทยอยู่ในระดับ 30% ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นไทยยังดี แม้จะมียอดขายสุทธิ และเงินไหลกลับตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน ซึ่งในเอเชียมีเพียงตลาดหุ้นสิงค์โปร์ และจีน เท่านั้นที่บวก ที่เหลือลดลงหมด
“เดือน ธ.ค.เป็นเดือนวัดใจว่า เงินลงทุนจากกองทุนไทย อีเอสจี กองทุนลดหย่อนภาษีจะเข้ามามากแค่ไหน หลังจากเห็นนักลงทุนสถาบันที่เป็นกองทุนรวมซื้อสุทธิเข้ามาติดต่อกัน 2 เดือนแล้ว”ดร.ศรพล กล่าว
นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน(AIMC) คาดหวังว่านักลงทุนจะซื้อกองทุน Thai ESG ในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีข้ามาแล้ว 20,000 ล้านบาท
“การลงทุนของผู้จัดการกองทุน เราจะดูเรื่องนโยบายการทำธุรกิจแบบยั่งยืน (ESG) ที่มีตลาดหลักทรัพย์ฯช่วยคัดกรอง ซึ่งไม่ได้ลงทุนทั้ง 191 บริษัท แต่จะดูเศรษฐกิจ ดูทิศทางอุตสาหกรรม ผู้บริหาร บริษัท ซึ่งมุมมองเรายังเชื่อมั่นหุ้นไทย P/E เรายังต่ำ 19.3 เท่า ยังมีตลาดเกาหลีใต้ที่ P/E ต่ำกว่าเราแต่น้ำหนักของเขาไปกองที่กลุ่มเทคโนโลยี การที่ P/E ไทยยังอยู่ในระดับนี้ได้แสดงให้เห็นว่ายังเป็นตลาดที่ปลอดภัยอยู่ หากสกัดออกมาเป็นกลุ่มๆ จะพบว่า กลุ่มท่องเที่ยว ดีกว่าคาด กลุ่มอุปโภคบริโภค ยังโต หากเราสกัดเรื่องน้ำมันออกไป”นางชวินดา กล่าว
นางชวินดา กล่าวว่า ในฐานะผู้จัดการกองทุน ยังคงชอบหุ้นไทย ไม่กลัวแต่ต้องใช้เวลาในการที่จะกลับฟื้นขึ้นไป
ปัจจุบัน กองทุน Thai ESG มีกองที่ลงทุนหุ้น 100% เหมาะกับคนอายุน้อยรับความเสี่ยงได้มาก กองที่ลงทุนตราสารหนี้อย่างเดียว เหมาะกับคนที่ชอบความเสี่ยงต่ำ ส่วนกองทุนผสม เหมาะกับทุกวัยที่ชอบการบาลานซ์
ตลาดหุ้นพ.ย.เงินทุนไหลกลับสหรัฐฯ
ดร.ศรพล สรุปภาวะการลงทุนเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาว่า หากพิจารณาช่วงทรัมป์ 1.0 ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งกว่าปัจจุบัน สังเกตจากการเติบโตของ GDP และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 3/2567 ขยายตัว 3.0% ทำให้ GDP โดยรวม 9 เดือนแรกปี 2567 ขยายตัว 2.3% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อีกทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปรับเพิ่มแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ไปอยู่ที่ 2.6% จากการเพิ่มขึ้นของการส่งออก ท่องที่ยว และการลงทุนภาครัฐ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนรายงานผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ปี 2567 มีรายได้เพิ่มขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวจากปีก่อน แต่ราคาน้ำมันและส่วนต่างค่าการกลั่นปรับลดลงทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและปิโตรเคมีกำไรสุทธิลดลง
ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 SET Index ปิดที่ 1,427.54 จุด ลดลง 2.6% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.8%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 มีเพียงกลุ่มเดียว ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 44,256 ล้านบาท ลดลง 3.4% จากเดือนพฤศจิกายน 2566ขณะที่ใน 11 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 47,045 ล้านบาท ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามเห็นสัญญาณเกี่ยวกับมูลค่าการซื้อขายผู้ลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมดสองเดือนติดต่อกัน
มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ (SNPS) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ (MPJ) บมจ. อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง (IROYAL)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ระดับ 16.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 19.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 อยู่ที่ระดับ 3.34% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.10%
ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤศจิกายน 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 487,638 สัญญา ลดลง 4.2% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 479,145 สัญญา ลดลง 10.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures