บล.บัวหลวงแนะลงหุ้นไทยแค่ 10-15% ชี้เป้าปีหน้า 1485 มีลุ้น 1580 ถูกแต่บจ.ไม่โต

HoonSmart.com>>ไม่อยากเสียโอกาส!บล.บัวหลวงแนะมีหุ้นไทยเพียง 10-15% ยกสถิติ 20 ปี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7% ต่อปี ไม่หักเงินเฟ้อเฉลี่ย 2.1% มองเป้าปีหน้า 1,485 บวกจากวันนี้เพียง 30 จุด ดีที่สุด 1,580 ฟันด์โฟลว์ไหลบ่าครึ่งปีหลัง-ดอกเบี้ยลดลง กรณีแย่สุดหุ้นจะร่วง 10% ไทยเจอปัญหาโครงสร้างหลายจุด กดดันกำไรบจ.-ROE เชียร์หุ้น AOT, 3 โรงแรม, CPALL,CPF,COM7,แบงก์ใหญ่,ICT ได้ดีดาต้าเซนเตอร์  ส่วนทองแพงไปแล้ว ลดพอร์ต หุ้นสหรัฐมีโอกาสปรับฐาน 

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง กล่าวถึง“ผ่ามรสุมการลงทุนปีมะโรง เตรียมความพร้อมรับโอกาสปีมะเส็ง ด้วยกลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบมีประสิทธิภาพ” ว่า นักลงทุนจะต้องกระจายการลงทุนอย่างจริงจัง หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว ไม่ควรลงทุนในเฉพาะตลาดหุ้นไทย ยังไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไม่ได้ จะทำให้เสียโอกาสอีก 20 ปี หลังจากเสียโอกาสไปแล้ว 10% หากไม่ไม่ทำอะไรเลย จะไม่มีเงินสำหรับเกษียณ แม้ว่าในปี 2567 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่ยังไม่โดดเด่นมากอย่างที่คาดการณ์  เนื่องจากมีการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) หลายครั้ง และอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากสถิติในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.7% ต่อปี ท่ามกลางเงินเฟ้อเฉลี่ย 2.1% เทียบกับทองคำให้ผลตอบแทนสูงเฉลี่ย 9.8% ในรูปดอลลาร์ ในรูปเงินบาทอยู่ที่ 8% จากเงินบาทแข็งค่า 1% ส่วนหุ้นสหรัฐให้กำไรสูงมาก สำหรับทองในภาวะปกติจะลงทุน 5-8% แต่มองว่าราคาสูงเกินไปแล้ว จึงลดน้ำหนักลงไป ตอนนี้อยู่ถึง 2% ของพอร์ต ส่วนพอร์ตลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วน 65% แบ่งเป็นหุ้นไทย 10-15% ส่วนที่เหลือเม็ดเงินไปยังตลาดต่างประเทศ แต่ไม่น่ากลัว เพราะมีหลักง่ายๆ หากไม่ดูหุ้นรายตัว ก็ลงทุนใน ETF หากลงทุนในหุ้นต่างประเทศ มีเรื่องภาษี การลงทุนในกองทุนไม่เสีย มีทางเลือกลงทุน DR  เชื่อมโยงดัชนีทั่วโลก

“ตลาดหุ้นไทยไม่เซ็กซี่ กำไรบจ.50% มาจากสินค้าพื้นฐาน เศรษฐกิจเก่า  อัตราผลเงินปันผลเกิน 3% ยืนมาตลอด 10 ปี ทำให้ตลาดไซด์เวย์เคลื่อนไหวที่ 1,250-1,700 ปีนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยไปแล้ว 1.37 แสนล้านบาท คงจะขายอีกไม่มาก คาดจะทยอยเข้ามาในครึ่งปีแรก และจะเร่งตัวในครึ่งปีหลัง หุ้นไทยจะน่าสนใจทุกครั้งที่ดอกเบี้ยลดลง คาดไทยลง 1 ครั้ง เฟดปรับลด 3-4 ครั้ง ทำให้ส่วนต่างแคบลง ขณะที่มองเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยอ่อนๆ น่าจะถึงระดับต่ำสุดกลางปี  และตลาดหุ้นสหรัฐที่ขึ้นไปสูงมากจะต้องมีการปรับพอร์ต ทำให้เงินเลือกลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทยที่ยังถูก  แต่คงไปไม่ไกล คาดเป้าหมายที่ 1,485 ใกล้เคียงกับปัจจุบัน บน P/E  16 เท่า หากมีสภาพคล่องไหลเข้ามา มีโอกาสเห็น 1,580 ใกล้ 1,600 จุด P/E 17 เท่า กรณีแย่ที่สุดจะลงไปที่ 14 เท่า หรือลงไป 10%จากขณะนี้ คาดกำไรบจ.ที่เราดูแลโต 15% ทั่วไปโต 10% ไม่รวมกลุ่มพลังงาน” นายชัยพรกล่าว

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในวัฎจักรโตแบบชะลอตัวลง บล.บัวหลวงคาดปีหน้าเติบโต 2.4% ต่ำกว่าปีนี้ที่ 2.6% เป็นเพราะรัฐบาลไทยทำงานไม่ดีพอ หรือมาจากปัจจัยอื่น  แม้ว่าจะเห็นบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนสร้าง Data Center ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการเพื่อประคองกำลังซื้อของระยะสั้น ใช้เงินแล้วหมดไป ส่วนจีนเข้ามาเปิดฐานการผลิต EV ในไทย จะต้องทำตามสัญญา เพราะขายไปเท่าไรจะต้องลงทุนเท่ากัน  รับชดเชยจากภาษีที่ได้ไป ส่วนนโยบายของทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีคาดเกิดขึ้นกับคู่ค้าทั่วโลก ไม่เฉพาะจีน

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในปี 2568 ได้แก่ กลุ่มอุปโภคบริโภคได้แก่ CPALL, CPF และ COM7, กลุ่มท่องเที่ยว เน้น AOT และโรงแรม 3 แห่ง กลุ่มธนาคารเน้นแบงก์ใหญ่ และ ICT ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุน Data Center

ด้านนายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ คาดดัชนีหุ้นเดือนธ.ค.อาจปรับขึ้นรับเศรษฐกิจไทยเร่งตัว และเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG) จ่อไหลเข้า 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท แต่ปี 2568 หุ้นไทยอาจเผชิญความผันผวนจากการเดินหน้านโยบายของทรัมป์ และการแรงเทขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งจะเป็นปีแรกที่เงิน LTF รวมทั้งสิ้น 2.41 แสนล้านบาทสามารถขายได้ทั้งหมด กดดันตลาดต้นปีหน้าได้ โดยแรงขายเฉลี่ยล่าสุดในปีนี้อยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน

อย่างไรก็ดี ระดับ SET Index เฉลี่ยในปี 2562 ที่สามารถขายคืนได้ในปีหน้า 2568 ที่ 1,640 จุด อยู่สูงกว่าระดับ SET Index ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,430 จุด จะทำให้มีผลขาดทุนอยู่พอสมควร ดังนั้น บล.ทิสโก้มอง SET Index ระดับปัจจุบันอาจไม่ใช่จังหวะขายที่ดีนักสำหรับผู้ถือกองทุน LTF
ในเชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ยังให้ความสำคัญกับการลงทุนหุ้นรายตัวมากกว่า แนะนำธีมน่าสนใจ เช่น 1.หุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่คาดจะเป็นเป้าลงทุนกองทุนลดหย่อนภาษี เด่น AOT, CPALL, MINT และ SCB 2. หุ้นที่กำไรปีหน้าคาดเติบโตดีกว่าตลาด มี Upside จากมูลค่าพื้นฐานมากกว่า 20% AP, GPSC, TU และ 3. หุ้นที่คาดเข้า SET50 ครึ่งแรกปีหน้า ชอบ COM7 สรุปหุ้นเด่นในเดือนธันวาคม คือ AOT, AP, COM7, CPALL, GPSC, MINT, SCB และ TU แนวรับสำคัญเดือนธันวาคมอยู่ที่ 1,400-1,410 จุด แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,450 จุด 1,470 จุด และ 1,490 จุด ตามลำดับ

สำหรับหุ้นวันที่ 3  ธ.ค. หุ้นปรับขึ้นอย่างโดดเด่น ดัชนีปิดที่ระดับ 1,454.76 จุด เพิ่มขึ้น 17.65 จุด หรือ +1.23% มูลค่าซื้อขาย 46,701.92 ล้านบาท เกิดจากนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,405.94 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 3,544.90 ล้านบาท  แรงซื้อกระจุกตัวในกลุ่ม GULF เรื่องที่ซีอีโอ NVDIA จะมาเยือนไทยในวันพรุ่งนี้ (4 ธ.ค.) คาดหวังการลงทุน Data Center และยังได้รับแรงซื้อจากหุ้นในกลุ่มการเงินด้วย เก็งมาตรการแก้หนี้รายย่อยที่จะออกมาในวันที่ 11 ธ.ค.นี้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ยังไม่มีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป