HoonSmart.com>>บล.เอเซีย พลัส มองแนวโน้มหุ้นเดือนธ.ค.เคลื่อนไหวในกรอบ 1,380–1,460 จุด คาดเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน THAIESG ซื้อหุ้นในตลาดไม่เต็มที่ ครึ่งหนึ่งอาจลงทุน THAIESG ตราสารหนี้ ขณะที่ต้นปีหน้าหุ้นไทยเผชิญเม็ดเงิน LTF ทั้งหมดพร้อมขายได้กว่า 2.4 แสนล้านบาท วางเป้าหมายดัชนปี 68 ที่ 1,600 จุด กรณีลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง หนุนเป้าดัชนีขึ้น 1,670 จุด แนะ 6 หุ้นเด่น “CRC, MAJOR, MTC, ADVICE, CBG, SIRI” พื้นฐานดี มีเกราะป้องกันยุค TRUMP 2.0
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX เดือน ธ.ค.67 ไว้ที่ 1,380 – 1,460 จุด ส่วนปัจจัยในประเทศ แม้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า แต่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง จากนโนบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น จากเม็ดเงินคงเหลือของงบประมาณปี 2567 + เม็ดเงินใหม่จากการอนุมัติงบประมาณปี 2568 เพื่อทยอยขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทยในช่วง 4Q67 – 2568
ขณะเวลาช่วงที่เหลือของปี คาดเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน THAIESG ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่เต็มที่เพราะอาจถูกแบ่งเข้าไปในตลาดตราสารหนี้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงตลาดหุ้นยังถูกกดดันจากการขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดอายุ และบางส่วนสลับเข้ามาซื้อกองทุน THAIESG ประเภทตราสารหนี้แทน
นอกจากนี้ช่วงต้นปีหน้า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญเม็ดเงิน LTF ทั้งหมดพร้อมขายได้ที่แล้วกว่า 2.4 แสนล้านบาท ในมุม VALUATION ของ SET INDEX ปี 2568 ภายใต้ EPS68F ที่ 97 บาท/หุ้น, ดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% อิง MEYG ที่ 3.8% ได้ดัชนีเป้าหมายที่ 2568 ที่ 1,600 จุด แต่ถ้ามีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง เหลือ 2.0% จะได้ดัชนีเป้าหมายปี 2568 ที่ 1670 จุด แนะนำหุ้น DEGLOBALIZATION พื้นฐานดี มีเกราะป้องกันในยุค TRUMP 2.0 อย่าง CRC, MAJOR, MTC, ADVICE, CBG, SIRI
สงครามรัสเซีย-ยูเครน บวกกับการปลี่ยนแปลงการเมืองโลกกำลังเป็นเรื่องที่ตลาดการเงินกลับมาให้น้ำหนักมากขึ้น นำไปสู่ยุค Deglobalization ซึ่งหลายๆ ประเทศมีความจำเป็นที่จะพึ่งพาตัวเองมากขึ้น ในมุมของตลาดการเงินบ้านเรามีหลายความเสี่ยงที่พึงระวัง คือ
1). ความกังวลการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสหรัฐ แม้หนุนให้ EPS Growth สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4% แต่กดดัน Fund Flow บางส่วน ไหลออกจากบ้านเราและไหลเข้าสหรัฐฯ
2). การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้ากดดันการส่งออกของไทยมีสัดส่วนสูง 69% ของ GDP โดยเฉพาะไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีสัดส่วน 17% ของการส่งออกทั้งหมด ทำให้เจออุปสรรคจากการตั้งกำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ส่วนการส่งออกไปจีนก็เจออุปสรรค Supply ที่เพิ่มขึ้นจากการตั้งกำแพงภาษีจีนจากสหรัฐฯ เช่นกัน ทำให้การขับเคลื่อนต้องพึงพาการเติบโตในประเทศมากขึ้น ทั้งการเร่งเบิกจ่ายภาครัฐ และการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง
3). อัตราดอกเบี้ยนโยบายในสหรัฐฯ อาจถูกตึงไว้ในระดับสูงนานขึ้น เช่นเดียวกับไทย หลังตัวเลขเงินเฟ้อยังเติบโตระดับต่ำกว่าเป้าหมายของธปท. ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้น ส่วน FUND FLOW ต่างชาติยังมี Momentum ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย จากความกังวลต่อการก้าวเข้าสู่ยุค TRUMP 2.0 เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการส่งออกสูงกว่าประเทศอื่นๆ ใน ภูมิภาค อีกทั้ง TRAILING P/E ตลาดหุ้นไทยเกิน 20 เท่า ยังดูแพงในเชิงเปรียบเทียบตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้คาดเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน THAIESG ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่เต็มที่ เพราะอาจถูกแบ่งเข้าไปในตลาดตราสารหนี้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงตลาดหุ้นยังถูกกดดันจากการขายกองทุน LTF ที่ครบ กำหนดอายุ นอกจากนี้ช่วงต้นปีหน้า ตลาดหุ้นไทยจะเผชิญเม็ด เงิน LTF ทั้งหมดที่พร้อมขายได้แล้วกว่า 2.4 แสนล้านบาท
ในมุม VALUATION ปี 2568 ภายใต้ EPS68F ที่ 97 บาท/หุ้น, ดอกเบี้ยนโยบาย 2.25% อิง MEYG ที่ 3.8% ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2568 ที่ 1600 จุด แต่ถ้ามีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง เหลือ 2.0% จะ ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2568 ที่ 1670 จุด ภายใต้ UPSIDE ของตลาด ที่จำกัด กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ SELECTIVE BUY แนะนำหุ้น DEGLOBALIZATION พื้นฐานดี มีเกราะป้องกันในยุค TRUMP 2.0 อย่าง CRC, MAJOR, MTC, ADVICE, CBG, SIRI
———————————————————————————————————————————————————–