HoonSmart.com>>ปตท.สผ. (PTTEP) เผยไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 17,864.57 ล้านบาท ลดลงเพียง 1.31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ร่วงลง 22% จากไตรมาส 2 รายได้ขายลดลง 6% ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รวม 9 เดือนกำไร 60,525 ล้านบาท โต 3.60% นำส่งรายได้เข้ารัฐ 43,300 ล้านบาท คาดไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 75–85 ดอลลาร์ ปีนี้ตั้งเป้าปริมาณขาย 501,000 บาร์เรล/วัน โครงการต่างประเทศคืบหน้า เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพิ่มขีดความสามารถ
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3/2567 มีกำไรสุทธิ 17,864.57 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 4.50 บาท กำไรลดลง 236.87 ล้านบาท หรือ 1.31% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 18,101.44 ล้านบาท หรือ 4.56 บาทต่อหุ้น รวม 9 เดือนปีนี้กำไรทั้งสิ้น 60,525.06 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 15.25 บาท ดีขึ้นจำนวน 2,102.62 ล้านบาทหรือ 3.60% จากช่วงเดียวกันปีก่อนกำไรสุทธิ 58,422.44 ล้านบาท หรือ 14.28 บาทต่อหุ้น
“ไตรมาส 3 มีกำไรสุทธิ 511 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(สรอ.) ลดลง 142 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือ 22% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 653 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยหลักจากรายได้จากการขายลดลง 6% เหลือเฉลี่ย 475,078 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการสำรวจปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 78.5 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจาก 85.3 ดอลลาร์ คาดไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ย 75–85 ดอลลาร์ สรอ. ส่วนปริมาณขายเฉลี่ย 9 เดือนเพิ่มขึ้น 6%เป็น 484,909 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน”
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2567 บริษัทมีความคืบหน้าในการดำเนินงานโครงการในต่างประเทศ โดยโครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้รับการอนุมัติแผนพัฒนาโครงการจากหน่วยงานรัฐบาลของอาบูดาบีแล้ว คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้ในปี 2568 เพื่อเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมและอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติให้บริษัทในอนาคต
ส่วนดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital-Driven Organization) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ รวมทั้ง ช่วยลดระยะเวลาและลดค่าใช้จ่าย ปตท.สผ. ได้พัฒนาโครงการ DigitalX ขึ้น พัฒนาและประยุกต์ใช้โครงการนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Solutions) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานอย่างครบวงจร เช่น เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning ที่ช่วยวิเคราะห์และประมวลข้อมูลทั่วทั้งห่วงโซ่ธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เช่น ช่วยการเจาะหลุมปิโตรเลียม กระบวนการผลิต การบริหารจัดหาจัดส่งวัสดุอุปกรณ์ โดยมีการเชื่อมฐานข้อมูล (Data Foundation) ที่เชื่อถือได้ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และมีระบบบริหารจัดการทรัพยากร (ERP System) ที่ทันสมัย ภายใต้มาตรการความปลอดภัยเชิงรุก
นอกจากนี้ ปตท.สผ. กำลังพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยี หุ่นยนต์และอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานที่แท่นผลิตปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความเสี่ยง ลดระยะเวลาในการทำงาน เช่น โดรนสำหรับขนส่งอุปกรณ์ และเวชภัณฑ์ที่จำเป็น (Delivery Drone) ระหว่างแท่นผลิตในอ่าวไทย ซึ่งช่วยให้การเคลื่อนย้ายเครื่องมือ อุปกรณ์การผลิต และอื่น ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และโดรนสำหรับตรวจสอบสภาพภายนอกของแท่นผลิตและตรวจการ (Inspection Drone) เพื่อยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างแท่นผลิตรวมถึงป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
“ในช่วงที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้พัฒนาและนำนวัตกรรม เทคโนโลยี หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ เช่น โครงการ DigitalX หุ่นยนต์ที่ปฏิบัติงานใต้ทะเล และเทคโนโลยีอื่น ๆ ผ่านบริษัทในเครือ และ ปตท.สผ. เอง การพัฒนาดังกล่าว ดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยการเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ ประยุกต์ใช้ ทดลอง และต่อยอด ตามแนวทางการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อขยายขีดความสามารถและประสิทธิภาพในการดำเนินงานทั้งด้านการสำรวจและการพัฒนาแหล่งพลังงานในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรและประเทศ”นายมนตรีกล่าว
จากการให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดำเนินงาน ส่งผลให้ ปตท.สผ. ได้รับรางวัลจากสถาบันหรือองค์กรต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น รางวัล Thailand Technology Excellence Awards for AI – Oil & Gas จากนิตยสาร Asian Business Review จากผลงาน “AI Innovation ภายใต้โครงการ Digital Transformation” ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ และ Machine Learning รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2567 ด้านองค์กรนวัตกรรม ประเภทองค์กรวิสาหกิจขนาดใหญ่ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับรางวัลด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ได้แก่ รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2567 จากการประกาศรางวัล Money & Banking 2024 และรางวัล Best CEO และ Best IR ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค จากเวที IAA Awards for Listed Companies 2024 และรางวัล Sustainability Award 2024 ประเภท “Sustainability Initiative of the Year” จากโครงการ Ocean for Life จาก Business Intelligence Group ซึ่งเป็นองค์กรอิสระจากสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ผลประกอบการในรอบ 9 เดือน/ 2567 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 247,119 ล้านบาท (เทียบเท่า 6,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.)) โดยมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ส่วนใหญ่มาจากอัตราการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ G1/61 ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 47.11 ดอลลาร์ สรอ.
ขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ จำนวนกว่า 43,300 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ ส่วนแบ่งผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ยังเป็นรายได้อีกส่วนหนึ่งที่รัฐได้รับโดยตรงจากการผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศอีกด้วย
สำหรับปี 2567 ปริมาณขาย ราคาขาย และต้นทุน เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงาน ทั้งนี้ เพื่อให้แนวโน้มผลการดำเนินงานสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทจึงได้ติดตามและปรับสมมติฐานให้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งผลให้ประมาณการปริมาณขายเฉลี่ย รวมปริมาณขายจาก ADNOC Gas Processing (AGP) อยู่ที่ประมาณ 501,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายในประเทศไทย ได้แก่ ความสำเร็จในการเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการจี 1/61(เอราวัณ) สู่ระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันเร็วกว่าแผนงาน รวมถึงปริมาณขายตามสัดส่วนการร่วมทุนที่เพิ่มขึ้น
ของโครงการยาดานาหลังจากผู้ร่วมทุนยุติการลงทุน
2. สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2567อยู่ที่ 75 –80 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล บริษัทได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีปริมาณน้ำมันคงเหลือ ภายใต้การประกันความเสี่ยงจำนวน 1 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันตามความเหมาะสม
3. รวมปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการเป็นผู้ลงทุนเพียงผู้เดียวในโครงการจี 1/61 (Sole Investment)
4. EBITDA margin: อัตราส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ต่อรายได้จากการขายรวมรายได้จากการบริการค่าผ่านท่อ
ปริมาณขาย คาดว่าในปีนี้ ต้นทุนต่อหน่วยจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566โดยหลักจากค่าเสื่อมราคาต่อหน่วยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโครงการจี 1/61(เอราวัณ) รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานในอุตสาหกรรมสูงขึ้น จากอุปสงค์ของแท่นขุดเจาะที่เพิ่มขึ้น คาดว่าต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยจะอยู่ในระดับ 29 – 30 ดอลลาร์สรอ.ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบในปี 2567
ด้านราคาหุ้น PTTEP ผันผวน ขึ้นไปสูงสุดแตะ 128 บาท ก่อนปิดที่ 125 บาท ติดลบ 1 บาท หรือ -0.79% มูลค่าการซื้อขาย
1,765.70 ล้านบาท
———————————————————————————————————————————————