KAsset มองหุ้นปีนี้ 1,500 จุด ปีหน้า 1,600 ชูพอร์ต Core & Satellite สู้ความผันผวน

HoonSmart.com>> บลจ.กสิกรไทย (KAsset) มองบวกหุ้นไทยคาดดัชนี SET ปลายปีนี้ 1,500 จุด เป้าหมายปี 68 ที่ 1,600 จุด แรงหนุนจากเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัว แนะจัดพอร์ตลงทุน Core & Satellite รับมือความผันผวน ใกล้เลือกตั้งสหรัฐฯ สถานการณ์ตะวันออกกลางยังกดดัน วาง “พอร์ตหลัก” กระจายลงทุนหลายสินทรัพย์ทั่วโลก 80% ส่วนที่เหลือโฟกัส “หุ้นอินเดีย เวียดนาม ไทย กองรีท” รวม 20%

วิน พรหมแพทย์

นายวิน พรหมแพทย์, CFA, ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด (KAsset) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงมีมุมมองเชิงบวกจากการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับในอดีต ประกอบกับเม็ดเงินใหม่จากกองวายุภักษ์ เข้าซื้อหุ้นในตลาดเป็นโมเมนตั้มหนุนดัชนีขึ้นต่อได้ รวมทั้งยังมีกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เป็นแรงส่งต่อโมเมนตั้มในช่วงปลายปี ซึ่งกองทุนทั้งสองประเภทมีหุ้นเป้าหมายใกล้เคียงกันเป็นหุ้นใหญ่ หุ้นปันผลสูงจึงมีแรงส่งต่อดัชนีได้ ขณะเดียวกันแนวโน้มเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวได้จากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งเป็น High Season

“หุ้นไทยปรับตัวขึ้นรอบนี้มาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่และมีกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งเป็นกองทุนขนาดใหญ่ แรงซื้อเยอะ กองทุน Thai ESG หนุนต่อจึงน่าจะหนุนดัชนีปลายปีนี้ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด และมองเป้าหมายปี 2568 ที่ระดับ 1,600 จุด” นายวินกล่าว

อย่างไรก็ตามหากนักลงทุนกังวลหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมามาก อาจรอจังหวะดัชนีย่อตัวแถวแนวรับ 1,480 จุดได้ โดยมองหุ้นบิ๊กแคป หุ้นปันผลสูง ซึ่งเป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์และกองทุน Thai ESG น่าสนใจเข้าลงทุน ขณะเดียวกันหุ้นไทยอันเดอร์เพอร์ฟอร์มมา 2 ปีและเพิ่งปรับตัวขึ้นมาแรง แนะนำให้จัดพอร์ตกระจายลงทุนทั่วโลกซึ่งจะกระจายความเสี่ยงได้มากกว่าลงทุนแต่ในหุ้นไทย

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่สมดุลมากขึ้น คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ถึงขั้นถดถอย (Hard Landing) แต่จะเติบโตแบบช้าๆ (Soft Landing) ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง 0.5% เปิดโอกาสให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ปรับลดดอกเบี้ยตามไปด้วยและแนวโน้มเฟดจะลดดอกเบี้ยลงเป็นระยะหากเงินเฟ้อลดลงตามคาด

“จากข้อมูลในอดีต 4 ใน 6 ครั้งที่เฟดลดดอกเบี้ย หนุนตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้น ยกเว้นในปี 2001 เศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอยและในปี 2007 วิกฤตซับไพร์ม ซึ่งการลดดอกเบี้ยในครั้งล่าสุดนี้ เศรษฐกิจไม่ได้แย่จึงส่งผลดีต่อตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น และตราสารหนี้ก็ดีเมื่อดอกเบี้ยลง ราคาตราสารหนี้ก็ได้ประโยชน์”นายวิน กล่าว

อย่างไรก็ตามแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมามาก แต่มองว่ายังไปต่อได้จากกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯที่เติบโตในปีนี้ 9% และแนวโน้มในปีหน้าเติบโต 15% เป็นแรงส่งให้ตลาดขึ้นต่อได้

สำหรับตลาดหุ้นจีน การลดดอกเบี้ย และมาตรการภาคอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่ประกาศออกมา ทำให้ตลาดหุ้นจีนฟื้นได้ในระยะสั้น และคาดว่าจะมีมาตรการด้านการคลังออกมาเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป

ด้านตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ยังมองโอกาสในการลงทุน เช่น อินเดีย เศรษฐกิจเติบโต 6-7% ต่อปี มีแรงขับเคลื่อนหลักจากการบริโภคในประเทศ และการใช้จ่ายของรัฐบาลมากขึ้น ขณะที่บริษัทในอินเดียมีความสามารถในการทำกำไรสูงคาดปีหน้าเติบโตสูง 16% แต่มีความกังวลพี/อีตลาดสูง ราคาปรับตัวขึ้นไปมากนักลงทุนอาจต้องระมัดระวัง

ส่วนตลาดหุ้นเวียดนาม ยังคงดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของสินเชื่อธุรกิจและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น หนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการส่งออก ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตดีอาจเห็น 7% ต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดจีดีพีไตรมาส 3/67 ขยายตัว 7.4% สูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าคาดเติบโต 21% ซึ่งสูงมากและพี/อีต่ำเพียง 10 เท่า นอกจากนี้หากทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกิดสงครามการค้าขึ้นมองว่าเวียดนามจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต เป็นประเทศที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ และมีโอกาสขยับขึ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ทำให้จะมีแรงซื้อหุ้นอีกมาก

ด้านตลาดทองคำ ในช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเข้าใกล้การเลือกตั้ง และวัฏจักรที่ Fed ลดดอกเบี้ย บลจ.กสิกรไทย ยังคงแนะนำให้เข้าสะสมทองคำหากมีจังหวะย่อเท่านั้น

“แม้ดอกเบี้ยขาลง เศรษฐกิจไม่ถดถอยจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้น ตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก แต่ระหว่างทางอาจขรุขระ เกิดความผันผวนจากประเด็นต่างๆ ได้ทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯและความขัดแย้งของตะวันออกกลาง นักลงทุนจึงควรกระจายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น แนะนำจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio โดย Core Pore ซึ่งเป็นพอร์ตหลักกระจายลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกสัดส่วน 80% และ Satellite Port สัดส่วน 20% ของพอร์ต แนะนำหุ้นอินเดีย เวียดนาม ไทยและกองรีทลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ”นายวิน กล่าว

บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงตามหลักการ Core & Satellite Portfolio ผ่านกองทุนแนะนำจากกสิกรไทย

สำหรับ Core & Satellite Portfolio ประจำไตรมาสที่ 4/2567 จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่

ส่วนที่ 1: Core Portfolio เน้นลงทุนระยะยาวแบบ Asset Allocation ประมาณ 80% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP, K-WPULTIMATE

ส่วนที่ 2: Satellite Portfolio เน้นลงทุนระยะสั้นแบบจับจังหวะตลาด (Market Timing) ประมาณ 20% ของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน K-FIXEDPLUS, K-GSELECT, K-INDIA, K-VIETNAM, K-STAR และ K-PROPI

สำหรับระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนของกองทุนใน Core Portfolio บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี ส่วนกองทุนใน Satellite Portfolio แนะนำให้เป็นการลงทุนระยะสั้นอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อรอประเมินสถานการณ์ตลาดในระยะถัดไป

—————————————————————————————————————————————–
 

 

อ่านข่าวอื่นๆ

“วิน พรหมแพทย์” แม่ทัพคนใหม่บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้า AUM แตะ 2 ล้านลบ.ใน 3 ปีข้างหน้า