บล.บัวหลวงจ่อออก DR อิง ETF ฮ่องกง ลงทุนหุ้น S&P 500 คาดเทรด ต.ค.นี้

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวงเตรียมออก DR อิง ETF ตลาดหุ้นฮ่องกง ลงทุนหุ้น S&P 500 คาดเข้าเทรดปลายต.ค.นี้

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ภายในเดือนต.ค.นี้ คาดว่าจะสามารถนำตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Depositary Receipt (DR) ใหม่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ โดยเป็น DR ที่อิง ETF ในตลาดหุ้นฮ่องกง ซึ่งเป็น ETF ที่พอร์ตลงทุนมีหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีหุ้นเติบโตมากที่สุด

การเลือก ETF ตลาดหุ้นฮ่องกง เพราะเวลาเทรดเป็นเวลาเดียวกับตลาดหุ้นไทย โดยจะไม่มีความเสียเปรียบเรื่องเวลาที่เทรดไม่ตรงกันมากนัก เพราะเน้นให้ลงทุนเป็นหลัก หากนักลงทุนอยากเทรด หรือ เก็งกำไร หรือซื้อเช้าขายบ่ายในตลาดหุ้นสหรัฐฯอเมริกา สามารถเปิดพอร์ตกับทางบัวหลวง หรือซื้อ DRx ได้

“จากการที่รัฐเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนในหุ้นคุณค่า หรือนักลงทุน VI มีการหันมาลงทุนใน DR ของเราเพิ่มขึ้น และนักลงทุนสถาบัน อย่างกองทุนรวม ก็มาซื้อ DR ของเราเพิ่มขึ้น เพราะเขาไม่ชอบเรื่องภาษี “นายบรรณรงค์ กล่าว

นายบรรณรงค์ กล่าวว่า การลงทุนต่างประเทศผ่าน DR ถือว่าง่ายที่สุดสำหรับคนไทย ข้อดีคือ ไม่เสียภาษี ข้อเสีย มีหุ้นให้เลือกน้อย เพราะอาจจะไม่มีบริษัทออก DR ที่ลงทุนในหุ้นที่นักลงทุนสนใจ ซึ่งปัจจุบันทำ DR ลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา อินเดีย และเวียดนาม ซึ่งทั้ง 3 ตลาด มีแนวโน้มเติบโตสูงสุด

ETF สามารถกระจายความเสี่ยงได้ บริษัทฯจะไปติดต่อกับทางพาร์ตเนอร์ให้ได้ต้นทุนถูกให้กับลูกค้า และได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดี เพราะเมื่อลูกค้าซื้อ DR ทางบริษัทต้องไปซื้อหุ้นต่างประเทศ ต้องแปลงเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งเรทจะดีกว่ารายย่อยไปแลกเอง

แต่ถ้าอยากลงทุนต่างประเทศโดยตรงก็เปิดพอร์ตนั่งเทรดกลางคืนได้เลย ถ้ามีกำไรต้องเสียภาษี และข้อดีคือมีหุ้นเลือกได้หลากหลาย

ในมุมของโบรกเกอร์ การออก DR ทำให้ลูกค้าโบรกเกอร์อื่นสามารถซื้อ-ขายได้ด้วย แต่ถ้าให้เปิดพอร์ตซื้อ-ขาย จะมีเพียงลูกค้าบล.บัวหลวงเท่านั้นที่เทรดได้

นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนต่างประเทศผ่าน ท็อป ฟันด์ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น สะท้อนผ่านพอร์ต ท็อป ฟันด์ ของบริษัทที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตจาก 700 ล้านบาท ทะลุ 1,800 ล้านบาท ภายใน 2 ปี มีลูกค้ามาใช้บริการร่วม 1,000 คน โดยเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำ 500,000 บาท เพราะสามารถแก้ pain point การลงทุนในกองทุนรวมของนักลงทุน

ขณะที่ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2567 ทำได้ 7.8% โดยมีการกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นฮ่องกง และมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติ ตามธีมการลงทุนที่ทางบริษัทฯกำหนด โดยลูกค้าเสียค่าธรรมเนียมซื้อ-ขายกองทุนเพื่อดูแลลูกค้าที่ไม่มีเวลามานั่งดูพอร์ต

“เรามีการซื้อกองทุน และ ปรับพอร์ตแทนลูกค้า โดยไม่ได้เก็บค่าบริหารจัดการจากลูกค้าเลย ลูกค้าเพียงเสียค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย กองทุนตามปกติ”นายบรรณรงค์ กล่าว

นายบรรณรงค์ กล่าวว่า บริษัทมีการจัดเอบรมความรู้ให้นักลงทุน 2 เรื่อง คือ การสร้างพอร์ตลงทุนเอง หรือ DIY กับการลงทุนอัตโนมัติ โดยให้บริษัทจัดการให้หมด เพื่อให้นักลงทุนได้ตัดสินใจว่าอย่างไหนเหมาะกับตัวเอง

สำหรับ ธุรกิจหลักทรัพย์ในปัจจุบัน ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า จึงได้เพิ่มการออกหลักทรัพย์ที่ตอบโจทย์ตลาด โดยในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยเคลื่อนไหว จึงได้ออก DR ให้นักลงทุนมีโอกาสไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

“โครงสร้างรายได้ของเรามีการเปลี่ยนไปเยอะ ค่านายหน้าปัจจุบันอยู่ประมาณ 70% โดยผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ยังมีกำไรได้ในขณะที่สภาพตลาดหุ้นไม่ค่อยดี วอลุ่มการซื้อขายน้อย เพราะเราหันไปพัฒนาสินค้าลงทุนออกมามากขึ้น”นายบรรณรงค์ กล่าว