LHFG กำไร 580 ลบ.Q3/67 โต 6.8% รายได้ค่าธรรมเนียม-บริการเพิ่มขึ้น

HoonSmart.com>> “แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป” (LHFG) กำไรไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 579.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากงวดปีก่อน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้จากการดําเนินงานอื่นเพิ่มขึ้น ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 1.3% ผลขาดทุนด้านเครดิตลดวูบ ส่วนงวด 9 เดือน กำไรสุทธิ 1,470.42 ล้านบาท ลดลง 15.7% เหตุกําไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผลลดลง ส่วน NPL ลดเหลือ 2.29% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 2.36%

บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 ของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 579.81 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.027 บาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 542.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.026 บาท

ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 1,470.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.069 บาท ลดลง 15.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,744.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.082 บาท เป็นผลจากการลดลงของกําไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผล

LHFG เป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ประกอบด้วย ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ,บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และบริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โดยไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18.0% จากไตรมาส 2 ปี 2567 ที่มีกําไรสุทธิ 491.5 ล้านบาท เป็นผลจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และมีกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.81% จากไตรมาส 3 ปีก่อนเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้จากการดําเนินงานอื่น

ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 มีจำนวน 1,740.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 และลดลง 1.3% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ของปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยไตรมาส 3 ปี 2567 มีจํานวน 3,305.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย 1,564.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% เมื่อเทียบไตรมาส 2 ปี 2567 และมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 จํานวน 305.6 ล้านบาท ลดลง 5.9% เมื่อเทียบไตรมาส 2 ปี 2567 ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของกําไร (ขาดทุน) สุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน และลดลง 35.2% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของกําไร (ขาดทุน) สุทธิจากเครื่ องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกําไรหรือขาดทุน

ส่วนงวด 9 เดือนปี 2567 มีกําไรสุทธิลดลง 15.7% เมื่อเทียบงวด 9 เดือนปีก่อน เป็นผลจากการลดลงของกําไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผล โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจํานวน 5,148.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบงวด 9 เดือนปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยมีจํานวน 9,812.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยมีจํานวน 4,664.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.2% เมื่อเทียบงวด 9 เดือนปีก่อน และมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิมีจํานวน 1,008.9 ล้านบาท ลดลง 33.4% เมื่อเทียบงวด 9 เดือนปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของกําไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผล

นอกจากนี้ในไตรมาส 3 ปี 2567 มีกําไรจากการดําเนินงานก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จํานวน 983.5ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 และลดลง 18.0% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ปี 2566

ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นไตรมาส3 ปี 2567 จํานวน 267.6 ล้านบาท ลดลง 21.0% จากไตรมาส 2 ปี 2567 และลดลง 50.7% เมื่อเทียบไตรมาส 3 ปี 2566 และอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ณ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2567อยู่ที่ 241.43% ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นงวด 9 เดือนของปี 2567 มีจํานวน 1,132.9ล้านบาท ลดลง 27.1% เมื่อเทียบกับงวด 9 เดือนของปี 2566

ด้านผลการดําเนินงานของธนาคาร ไตรมาส 3 ปี 2567 มีกําไรสุทธิ 552.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.2% จากไตรมาส 2 ปี 2567 ที่มีกําไรสุทธิ 476.0 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และกําไรสุทธิเพิ่มขึ้น 29.7% จากไตรมาส 3 ปีก่อนมีกําไรสุทธิจํานวน 426.4ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ประจํางวด 9 เดือนปี 2567 เท่ากับ 2.37% ลดลงเมื่อเทียบงวด 9 เดือนของปีก่อนอยู่ที่ 2.52%

ขณะที่อัตราสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมคิดเป็น 2.29% ของเงินให้สินเชื่อรวม (รวมรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน) เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 2.36%

ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชีและผลกําไรหรือขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขใหม่ (รวมรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน) จํานวน 261,116.3ล้านบาท ลดลง 6,231.1 ล้านบาท หรือลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566