บลจ.ยูโอบีมองเป้าหุ้นไทย 1,550 จุด ปลายปีหน้า คัด 6 กองทุนเด่นส่งท้ายปี

HoonSmart.com>> “บลจ.ยูโอบี” มองแนวโน้มหุ้นไทย 12 เดือนข้างหน้า ดัชนีปรับตัวขึ้นแตะ 1,550 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต-กองทุนวายุภักษ์หนุนดาวไซด์จำกัด ด้านเศรษฐกิจโลกมองชะลอตัวแบบไม่รุนแรง แนะจัดพอร์ตกระจายลงทุน เน้นตราสารหนี้ทั่วโลก 55% รับมือความผันผวน ช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ต ชูกองทุนหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจ คัด 6 กองทุนเด่น-กองทุนลดหย่อนภาษีช่วงปลายปี

นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยใน 12 เดือนข้างหน้ามองเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,550 จุด คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ระดับ 98 บาท/หุ้นและพี/อี 15.7 เท่า จากราคาหุ้น Laggard มานาน ขณะเดียวกันมองการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของดัชนี มีเม็ดเงินทยอยเข้าซื้อหุ้นช่วยหนุนตลาดปรับตัวขึ้นได้ ประกอบกับช่วงไตรมาสสุดท้ายยังมีเม็ดเงินจากกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีเข้าซื้อหุ้น

“ภาพรวมตลาดหุ้นไทยราคายังไม่แพงและมีปัจจัยคอยซัพพอร์ตตลาด จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ บนสมมติฐานปัจจัยการเมืองที่นิ่ง นักลงทุนสามารถทยอยสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวได้ โดยมองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ การแพทย์ ท่องเที่ยว การบริโภคและกลุ่มได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มมากขึ้น”นางสาววรรณจันทร์ กล่าว

ส่วนแนวโน้มฟันด์โฟลว์น่าจะเห็นการไหลเข้าตลาดหุ้นเกิดใหม่และหุ้นไทยหลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลง 1 ครั้ง อัตรา 0.25% ในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯไม่ให้ห่างมากนัก

สำหรับมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้ายังขยายตัวในระดับปานกลางต่อไป หลังจากที่เติบโตได้ค่อนข้างดีในช่วงสองไตรมาสแรกในปีนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจยุโรปที่สามารถหลีกเลี่ยงการเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยได้ ภาพรวมของเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวลดลง เป็นปัจจัยหนุนต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก

ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจมาจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลัก ๆ ทั่วโลก อย่างเช่น Fed และ ECB ทั้งในปีนี้รวมถึงในปีหน้า ซึ่งช่วยทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มลดลง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้น และลดความกังวลต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง

ด้านเศรษฐกิจใหญ่ในฝั่งเอเชียอย่างประเทศจีน มีโอกาสฟื้นตัวเช่นกันจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลังที่ทางธนาคารกลางและรัฐบาลจีนช่วยกันนำออกมาใช้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จึงทำให้แนวโน้มของตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงน่าสนใจ โดยมองตลาดหุ้นเอเชียยังน่าสนใจ ส่วนหุ้นจีนยังไม่แนะนำให้เพิ่มการลงทุน

สำหรับตลาดหุ้นต่างประเทศ ยังมองหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจมีโอกาสเติบโตได้ดีในช่วงปีหน้า ถึงแม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงบ้าง จากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ส่วนใหญ่โดยเฉพาะตัวเลขในภาคตลาดแรงงานที่ประกาศออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ แต่การชะลอตัวลงดังกล่าวคาดว่าจะไม่รุนแรงถึงระดับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง (Hard Landing) เนื่องจากเศรษฐกิจในภาคบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นยังคงดีต่อเนื่องสะท้อนจาก ดัชนี ISM Services ที่ประกาศออกมาล่าสุด รวมถึงแบบจำลอง GDP Now ของ Fed สาขา Atlanta ที่แสดงถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สามนี้ถึง 2.9%

ทั้งนี้ ในการประชุม FOMC ครั้งล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐได้มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% เพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวลงในอนาคตและอัตราการว่างงานที่เริ่มเพิ่มระดับสูงขึ้น โดยทางบลจ.ยูโอบี มองว่าการที่ธนาคารกลางสหรัฐเลือกที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% เป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าและเหมาะสมกับอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงมา ซึ่งทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้านั้นดีขึ้นและโอกาสที่จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงนั้นน้อยลง

อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย.นี้ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม จากการใช้นโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม เนื่องจากขณะนี้ผลสำรวจบ่งชี้ถึงผลการเลือกตั้งที่ยังคงสูสีระหว่าง Donald Trump และ Kamala Harris

“ภาพรวมการลงทุนให้น้ำหนัก “Neutral” ทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้ นักลงทุนอาจรอจังหวะในการทยอยเข้าลงทุน หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา โดยมองการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสำหรับนักลงทุนในแต่ละคน ยังเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม โดยแนะนำให้กระจายการลงทุนบางส่วนในตราสารหนี้ทั่วโลก เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางและยุโรปยังคงมีอยู่ รวมถึงสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้นอีกหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ”นางสาววรรณจันทร์ กล่าว

นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี เปิดเผยว่า สำหรับพอร์ตการลงทุนระดับความเสี่ยงปานกลาง แนะนำลงทุนตราสารหนี้ 55% หุ้น 45% ซึ่งลงทุนหุ้นไทยเพียง 3% และสัดส่วนที่เหลือลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก ได้แก่ กองรีท, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและทองคำ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามจากแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังมีโอกาสการเติบโต บลจ.ยูโอบี จึงแนะนำกองทุนรวมตราสารทุน คือ กองทุนเปิด ไทย ยูไนเต็ด ยูเอส โกรท ฟันด์ (UUSA) ระดับความเสี่ยง 6 – เสี่ยงสูง

สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงและต้องการกระแสรายได้สม่ำเสมอ จากการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแนะนำลงทุน กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอลอินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (UGIS-SSF) และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอลอินคัม สตราทีจิค บอนด์ ฟันด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (UGISRMF) ระดับความเสี่ยง 5 -เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง

หากหวังผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนในหุ้น แนะนำลงทุนในหุ้นทั่วโลกในบริษัทชั้นนำที่มีการเติบโตพร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล ควอลิตี้ โกรท ฟันด์ (UGQGRMF) ระดับความเสี่ยง 6 – เสี่ยงสูง

กองทุนที่มุ่งหวังสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และส่งเสริมการลงทุนด้าน ESG พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้แก่ กองทุนเปิด ยูไนเต็ด อิควิตี้ ซัสเทนเนเบิล โกลบอล ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม (UESG-SSF) ระดับความเสี่ยง 6 – เสี่ยงสูง และกองทุนเปิด ยูไนเต็ด หุ้นไทย ซัสเทนเนเบิล ชนิดหน่วยลงทุนไทยเพื่อความยั่งยืนและไม่จ่ายเงินปันผล (UTSEQ-THAIESG) ระดับความเสี่ยง 6 – เสี่ยงสูง กองทุนลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยเน้นลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่ได้รับการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือองค์กร หรือสถาบันอื่นที่สำนักงานยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) หรือด้านความยั่งยืน (ESG) ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Governance) โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

นักลงทุนที่สนใจสามารถปรึกษาการลงทุนและขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคาร ยูโอบี จำกัด (มหาชน) หรือ บลจ. ยูโอบี โทร. 0-2786-2222 หรือเลือกทำรายการผ่านบริการออนไลน์ Premier Online หรือผ่านแอปพลิเคชัน UOBAM Invest Thailand และสำหรับผู้ลงทุนใหม่สามารถเปิดบัญชีกองทุนออนไลน์และลงทุนได้ทันที่ ผ่านแอป UOBAM Invest หรือคลิกที่ https://www.uobam.co.th/th/Channel/OpenAccountnew