SET คาดฟันด์โฟลว์ยังแข็งแกร่ง ลุ้น 3 ปัจจัยดันหุ้นเข้าตา MSCI

HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดเงินยังไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี จากกองทุนวายุภักษ์ที่ยังเข้าไม่เต็ม-รายย่อยลงทุนเพื่อใช้สิทธิทางภาษี ลุ้น 3 ปัจจัยดันมาร์เก็ตแค็ปหุ้นไทยขยับเข้าตา MSCI เพิ่มขึ้น จับตาสงครามอิสราเอลกระทบบางกลุ่มอุตสาหกรรม

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คาดว่า ช่วงที่เหลือของปีเงินลงทุนจะยังคงไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ปัจจุบันเงินของกองทุนวายุภักษ์ ยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และช่วงปลายปี จะมีเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเพื่อใช้สิทธิในการบริหารภาษีส่วนบุคคล รวมถึงกองทุนไทยอีเอสจีด้วย

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยต้องการสัดส่วนนักลงทุนแต่ละกลุ่มที่มีความสมดุลกัน แต่ไม่สามารถที่จะกำหนดสัดส่วนได้ เพราะเป็นตลาดเสรี แต่หลักๆ คือต้องการสนับสนุนนักลงทุนในประเทศให้เข้าถึงตลาดทุนมากขึ้น ทั้งนักลงทุนสถาบันและรายย่อยที่เป็นรุ่นใหม่ ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯมีการออกไปให้ความรู้ในภาคเหนือ ภาคอีสาน ซึ่งได้รับการตอบรับดีเกินคาด เช่น ที่เชียงใหม่ และ ข่อนแก่น มีกลุ่มเจนแซดเข้ามาฟังจำนวนมาก

ขณะเดียวกัน ก็ต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศด้วย ซึ่งจะมีการนัดพบกับทางสถานทูตประเทศต่างๆ และหอการค้าหลายๆ ประเทศ ที่มีความสนใจการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เดือนกันยายนถือว่าเป็นเดือนที่ 2 ของจุดกลับตัวของตลาดหุ้น หุ้น IPO กลับเข้ามาแล้ว โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อหุ้นไทยในเดือนกันยายนสูงสุดในรอบ 22 เดือน โดยปัจจัยที่จะทำให้หุ้นไทยไปได้ต่อ ประกอบด้วย รายได้ของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ของปี 2567 นี้ หากดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2 จะทำให้ SET ก้าวต่อไปได้อีกเลเวลหนึ่งของความเข้มแข็งมากขึ้น ตัวเลขการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะทางภาคเหนือสามารถฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำท่วมรับนักท่องเที่ยวได้ทันช่วงไฮซีซั่นนี้หรือไม่ ถ้ายังไปได้ต่อเนื่อง จะทำให้หุ้นไทยมีขนาดใหญ่ขึ้นและสามารถเข้าไปอยู่ในดัชนี MSCI ได้เพิ่มขึ้นได้

ด้านปัจจัยในประเทศ ในด้านตลาดทุนมีนโยบายภาครัฐเข้ามาช่วย เรื่องการลงทุนระยะยาว ช่วยในเรื่องของหุ้นยั่งยืน ผ่านกลไกของนักลงทุนสถาบัน คุณภาพของการซื้อขายหุ้นมีความเฮลท์ตี้ขึ้นกว่าเดิม จากการที่นักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้น รวมถึงต่างชาติก็เริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

สำหรับ ปัจจัยเสี่ยง จะมาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ คือ การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดเร็วหรือช้า ซึ่งบ่อยครั้งที่มีการลดดอกเบี้ย ทำให้เงินจะมีการไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ และการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา สงครามอิสราเอล ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันและค่าเงิน ซึ่งจะกระทบกับบางกลุ่มอุตสาหกรรม ส่วนตลาดหุ้นจีน ทางรัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาทำให้ตลาดหุ้นจีนดีขึ้น

“หากพิจารณาข้อมูลในอดีตพบว่าหาก FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้น ASEAN ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ซึ่งหลายประเทศเข้าขึ้นไปแรงแล้ว เหลือแต่ไทยที่กำลังขึ้น ยังมีรูมขึ้นไปได้อีกเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่เขาขึ้นไปมากแล้ว”นายศรพล กล่าว

นายศรพล สรุปภาวะตลาดหุ้นในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาว่า SET Index ปิดที่ 1,448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3%

ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับมาอยู่ที่ 62,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า และปรับเพิ่มขึ้น 35.8% จากเดือนที่แล้ว ทำให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 46,481 ล้านบาท
มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอสอีไอ เมดิคัล (SEI) และ บมจ. พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 15.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.6 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567 อยู่ที่ระดับ 3.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.04%

สำหรับ ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนกันยายน 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 707,472 สัญญา เพิ่มขึ้น 41.9% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 474,728 สัญญา ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures