HoonSmart.com>>”การบินไทย” (THAI) ทะยานสู่ความสำเร็จอุตฯการบินครั้งใหม่ ปรับโครงสร้างเป็นเอกชน คลัง-รสก.ถือหุ้นไม่เกิน 44% เปิดเส้นทางสู่การเติบโตยั่งยืน ชูแข่งขันดีขึ้น มาร์จิ้นโต แบรนด์แกร่ง ลูกค้าอ้าแขนรับ ใช้เทคโนโลยีขายตั๋วเอง เพิ่ม ขยายฝูงบินเปิดเส้นทางที่ทรงพลัง จัดซื้อโปร่งใส เพิ่มศูนย์ซ่อมอู่ตะเภา ขยายรายได้ ลดเสี่ยง ผลงานครึ่งปีหลังดีขึ้นจาก 6 เดือนแรกขาดทุนค่าเงินอ่อน 6,000 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายพิเศษ ‘ปิยสวัสดิ์’ยันเงินสดในมือ 82,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ 72,000 ล้านบาทมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้น คุยส่วนแบ่งการตลาดในไทยมากขึ้นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย (THAI) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา การบินไทยได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด จนประสมความสำเร็จตามที่คาดหวังเป็นอย่างดี แผนฟื้นฟูกิจการนี้เปรียบเสมือนการพลิกโฉมองค์กรครั้งสำคัญ ทั้งการปรับโครงสร้างองค์กรที่พ้นจากสภาพจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ สู่ก้าวใหม่ในฐานะบริษัทเอกชนที่ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว และมีความโปร่งใส
ผลงานที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนได้แก่ การลดค่าใช้จ่าย การปรับกลยุทธ์ฝูงบินและเส้นทางการบินเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างกำไรในทุกเส้นทาง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน การปรับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการคัดเลือกและประเมินบุคลากรที่โปร่งใส รวมถึงการปรับโครงสร้างทางการเงินอย่างเป็นระบบ โดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียม และเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของการบินไทย
สาระสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร ประกอบด้วย การปรับลดขนาดองค์กร โดยลดจำนวนพนักงานลง เหลือประมาณ 14,000 คนในปี 2565 การปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจจากไทยสมายล์ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น แอปพลิเคชัน Thai Airways Mobile App เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายใน และระบบ HR Core Value มาใช้ในการคัดเลือกพนักงาน การปรับโครงสร้างทางการเงิน ได้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้โดยไม่ตัดหนี้ (Hair Cut) แต่ปรับปรุงเงื่อนไขการชำระหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ บริหารจัดการทรัพย์สิน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน
“วันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกระบวนการออกจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ หลังจากบรรลุเป้าหมายตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทุนเป็น 3.37 แสนล้านบาท การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ จนทำให้ EBITDA หลังหักเงินสดจ่ายหนี้สินตามสัญญาเช่าเครื่องบิน ตั้งแต่ก.ค.2566 ถึงมิ.ย. 2567 เท่ากับ 29,292 ล้านบาท สูงกว่าที่แผนฟื้นฟูกำหนดไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20,000 ล้านบาทในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง และไม่เกิดเหตุผิดนัด”นายปิยสวัสดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ยังคงติดลบ 40,427 ล้านบาท จึงเร่งปรับโครงสร้างทุนเพื่อให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลายเป็นบวกภายในสิ้นปีนี้ ผ่านการแปลงหนี้เดิมของเจ้าหนี้เป็นทุนภาคบังคับ และให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ แปลงเป็นทุนเพิ่มเติมโดยความสมัครใจ รวมถึงการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลตามที่แผนฟื้นฟูกำหนด ได้แก่ ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการปรับโครงสร้างทุน พนักงานและบุคคลในวงจำกัด (พีพี) ตามลำดับ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทุน ออกจากแผนฟื้นฟู และเตรียมความพร้อมสำหรับการนำหุ้นการบินไทยกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้ง ในไตรมาส 2/2568 โดยกระทรวงการคลังจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่สัดส่วนการถือหุ้นจะลดลง เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนรายอื่น ๆ
” ผลการดำเนินงานของการบินไทยดีขึ้น นับเป็นครั้งแรกที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น หลังจากลดลงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เพราะตลาดเติบโตมาก แต่การบินไทยไม่ได้โตตาม ปัจจุบันมีเงินสดในมือ 82,000 ล้านบาท มาจากการขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นเพียง 10,000 ล้านบาท และเงินสดที่เหลือ 72,000 ล้านบาทมาจากผลประกอบการที่ดีขึ้น ส่วนความกังวลเรื่องการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการดำเนินงานของการบินไทยเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น ในการจัดตั้งคณะกรรมการบริษัทใหม่ หากได้คนไม่ดีเข้ามาก็จะแข่งขันไม่ได้”นายปิยสวัสดิ์กล่าว
ทางด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย กล่าวว่า ผลงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ ASK หรือ Available Seat Kilometers ซึ่งเป็นตัวชี้วัดปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร, Aircraft utilization หรืออัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบิน, และ Cabin factor หรืออัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร ที่ล้วนแล้วแต่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของการบินไทยในการกลับมาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างมาก จากอัตราผลตอบแทน 3.11%ต่อกิโลเมตร EBITDA Margin 25% เทียบกับก่อนโควิดไม่เกิน 20% แม้ว่าใช้กำลังการผลิตประมาณ 62% เทียบกับปี 2562 ก็ตาม และมีค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่นค่าซ่อม การด้อยค่า ทำให้กำไรสุทธิลดลง
ความสำเร็จจากการปรับปรุงการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ การปรับเส้นทางบินและความถี่ของเที่ยวบินให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสาร รวมถึงการยกระดับคุณภาพการบริการในทุก ๆ จุดสัมผัส ทั้งหมดนี้ส่งผลให้การบินไทยดีขึ้น โดยในปี 2566 มีผู้โดยสารรวมประมาณ 13.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 9 ล้านคนในปี 2565 มีรายได้รวมสูงถึง 165,491.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 105,212.3 ล้านบาทในปี 2565
“วันนี้ การบินไทยพร้อมที่ก้าวสู่ขอบฟ้าใหม่แห่งความภูมิใจ “Fly for The New Pride” เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่จะนำพาการบินไทยให้ทะยานโลดแล่นบนท้องฟ้าได้ไกลกว่าเดิม มุ่งสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการปฏิวัติธุรกิจอย่างมืออาชีพ การสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และการยกระดับมาตรฐานการบริการในทุกด้าน เรามุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงความเป็นไทยสู่สากล พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ที่น่าประทับใจให้กับผู้โดยสาร และเรียกความไว้วางใจจากคนไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติให้กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยความภาคภูมิใจที่เราจะสร้างขึ้นด้วยกัน ” นายชายกล่าว
ขณะที่แนวโน้มอุตสาหกรรมการบินในช่วงปี 2566-2568 จะเติบโต 2 เท่า ส่วนใหญ่มาจากเอเชียแปซิฟิกโตเฉลี่ย 5.3% ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของการบินไทย จึงต้องตักตวงการเติบโตรอบนี้ให้มากที่สุด ทั้งการขยายฝูงบิน และเส้นทาง เพิ่มความถี่ เพื่อกระจายผู้โดยสารจากภูมิภาคอื่น โดยมีจุดแข็งในตลาดออสเตรเลียและยุโรป ส่วนในประเทศ สายการบินเจ้าบ้าน ควรมีส่วนแบ่งการตลาดอย่างน้อย 40-50% ก่อนหน้านี้เคยทำได้มากกว่า 40% แต่ลดลงเหลือประมาณ 20% ในปี 2566
ส่วนการจำหน่ายบัตรโดยสารผ่านตัวแทนสูงมาก ตอนนี้มีทางเลือกโดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มการจำหน่ายเอง เดิมเคยขายตรง 25% ตอนนี้เพิ่มขึ้น 8% เป็น 33% และยังสามารถเพิ่มได้อีก แต่ยอมรับว่าบางตลาดต้องผ่านตัวแทน ทั้งนี้จะมีการสร้างแรงจูงใจเพื่อเป้าหมายในการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน ลดค่าใช้จ่ายในส่วนพนักงานลงเหลือประมาณ 10% จากเดิมเคยสูงถึง 23%
กลยุทธ์สำคัญสู่เส้นทางการเติบโตครั้งใหม่ของการบินไทย ประกอบด้วย
• การเสริมสร้างเครือข่ายเส้นทางบินที่ครอบคลุม: โดยมุ่งเน้นการเชื่อมต่อเที่ยวบินที่ราบรื่น และตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารทั่วโลก
• การพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสาร: โดยเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการเดินทาง และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์
• การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน: เพื่อสร้างความยั่งยืนและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร
• การเสริมสร้างขีดความสามารถในการเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่: เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ และลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจการบินเพียงอย่างเดียว โดยมีการลงทุนศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน วงเงินลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ในสนามบินอู่ตะเภา นับเป็นแห่งที่ 3 จากปัจจุบันมีที่ดนิเมืองและสุวรรณภูมิ นอกจากขยายช่องทางในการเพิ่มรายได้แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยง จากการเพิ่มฝูงบินในช่วง 4-5 ปีนี้
• การมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม: เพื่อสร้างคุณค่าอันยั่งยืนให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดซื้อเครื่องบินอย่างโปร่งใส และคุ้มค่า โดยการบินไทยจะคุยกับบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ 5 รายเท่านั้น ไม่คุยกับตัวแทน และเงินที่จ่ายออกไปจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น เครื่องยนต์สำรอง ความสิ้นเปลืองพลังงาน
“ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ การบินไทยจะดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว รับมือกับความท้าทาย และปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และสามารถพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต เชื่อว่ามีความสามารถในการแข็งขีนอีกตลอด 10 ปีช้างหน้า ” นายชายเสริม
นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท การบินไทย กล่าวว่า ผลประกอบการในปีที่ผ่านมา นับเป็นปีแห่งความสำเร็จ โดยสามารถสร้างผลกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 28,123.3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพ และความสามารถในการทำกำไร ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมีผลกำไรต่อเนื่อง
“แม้ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจสายการบิน ยังคงมีรายได้รวมครึ่งปี เพิ่มขึ้น 12,630.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากการกลับมาให้บริการเที่ยวบินประจำรวมถึงเปิดเส้นทางการบินใหม่เพิ่มขึ้นภายหลังจากที่โควิด-19 คลี่คลายและการยกเลิกมาตรการการจำกัดการเดินทางของหลาย ๆ ประเทศ ทำให้มีผู้โดยสารรวม 7.68 ล้านคน และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 78.1%”
แผนฟื้นฟูกิจการที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบการขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565 กำหนดให้ในการปรับโครงสร้างทุน บริษัทฯ ต้องเพิ่มทุน เพื่อรองรับการแปลงหนี้เดิม เป็นหุ้นเพิ่มทุน (Mandatory Conversion) จำนวนไม่เกิน 14,862,369,633 หุ้น ในราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น โดยเจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 หรือกระทรวงการคลัง จะได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างเต็มจำนวนในสัดส่วน 100% ในขณะที่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และเจ้าหนี้กลุ่มที่ 18 – 31 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับการชำระหนี้เงินต้นคงค้างในอัตรา 24.50% ของมูลหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมด
นอกจากนี้ เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ยังสามารถใช้สิทธิแปลงหนี้เงินต้นคงค้างเป็นหุ้นเพิ่มทุนได้เพิ่มเติมโดยความสมัครใจ (Voluntary Conversion) จำนวนไม่เกิน 4,911,236,813 หุ้น ได้ในสัดส่วนที่ต้องการแต่จะต้องไม่เกินภาระหนี้ตามแผนฯ ของตน อีกทั้ง เจ้าหนี้กลุ่มที่ 4 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 5 เจ้าหนี้กลุ่มที่ 6 และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้ตามแผนฯ ยังได้รับสิทธิแปลงดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักเป็นหุ้นเพิ่มทุนโดยความสมัครใจ จำนวนไม่เกิน 1,903,608,176 หุ้น โดยกำหนดให้ใช้สิทธิในการแปลงหนี้ดอกเบี้ยใหม่ตั้งพักเป็นหุ้นเต็มจำนวนของมูลหนี้เท่านั้น ไม่สามารถเลือกใช้สิทธิบางส่วนได้ ในราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้เพื่อความสำเร็จของการปรับโครงสร้างทุนภายใต้แผนฯ รวมทั้งเป็นการรักษาเสถียรภาพด้านราคาหุ้นของการบินไทยภายหลังกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้บริหารแผนได้กำหนดมาตรการ Lock-up ห้ามเจ้าหนี้ที่ได้รับหุ้นเพิ่มทุนจากการแปลงหนี้เป็นทุนขายหุ้นดังกล่าวจนกว่าจะครบระยะเวลา 1 ปีนับจากวันที่หุ้นของการบินไทยกลับเข้าซื้อขาย หลังจากวันที่ครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน จึงจะให้เจ้าหนี้ที่ได้รับหุ้นจากการแปลงหนี้เป็นทุนแต่ละรายสามารถขายหุ้นในส่วนดังกล่าวของตนได้จำนวนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นที่ตนถูกห้ามขาย
สำหรับกระบวนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ประกอบด้วย การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 9,822,473,626 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 59.01% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมด รวมทั้งหุ้นที่เหลือจากกระบวนการ Voluntary Conversion (หากมี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของการบินไทยก่อนการปรับโครงสร้างทุน (โดยไม่จัดสรรและเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นที่จะทำให้การบินไทยมีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ) พนักงานของการบินไทย และบุคคลในวงจำกัด (พีพี) ตามลำดับ
“การกำหนดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนตามที่ผู้บริหารแผนเห็นสมควร แต่จะต้องไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น คาดว่าจะมีการออกรายงานประเมินมูลค่ายุติธรรมโดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระในช่วงกลางเดือนต.ค.2567 ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการใช้สิทธิของเจ้าหนี้ในการแปลงหนี้เป็นทุนในช่วงเดือนพ.ย.และเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในช่วงเดือนธันวาคม 2567 ต่อไป ทั้งนี้ การใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุน ยังมีความไม่แน่นอนในส่วนเจ้าหนี้ คาดถือหุ้นในช่วง 24-38% ส่วนกระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจถือหุ้นในช่วง 38-44% กองทุนวายุภักษ์ 7.6% “นางเฉิดโฉมกล่าว