HoonSmart.com>>”อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง”(IROYAL) เดินหน้าเข้าเทรดตลาด mai โชว์จุดแข็ง ไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิกระโดด 130.76% อัตรากำไรสุทธิสูงลิ่ว 38.35% กอดลูกค้า Blue chip ในมือทั้งกฟผ.-ไฟฟ้าหงสา (ในสปป.ลาว) ต่อยอดกลุ่มใหม่ กลยุทธ์ One Stop Service จัดหาผลิตภัณฑ์เฉพาะตรงความต้องการลูกค้าได้ ปักธงมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจด้านโซลูชั่นพลังงานไฟฟ้า รุกสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 3 นักวิเคราะห์ตีราคาเหมาะสมที่ 10.20-10.50 บาท เฉลี่ย 10.33 บาท
นายภณภัทร เมฆาสุวรรณดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์รอแยล เอ็นจิเนียริ่ง หรือ IROYAL เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 86.37 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 61.13 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73.78% ของรายได้จากการดำเนินงาน และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้ง 21.72 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.22% ของรายได้จากการดำเนินงาน
นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรสุทธิ 33.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ระดับสูงที่ 38.35% ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากกำไรขั้นต้น และอัตรากำไรขั้นต้นจากงานการขายดีขึ้น การส่งมอบผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น ทั้งจำนวนรายการ และปริมาณผลิตภัณฑ์ การบริหารต้นทุนในการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเฉพาะให้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยแก้ปัญหาหลักของลูกค้าได้ตรงจุด เป็นผลให้สามารถสร้างอัตรากำไรที่สูงได้
สำหรับงานในมือ (Backlog) ส่วนใหญ่จะเป็นงานจากกลุ่มลูกค้า Blue chip อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ไฟฟ้าหงสา (โรงไฟฟ้าหงสา สปป.ลาว) อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความชำนาญที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ เช่น โรงกลั่นน้ำมันหรือโรงปิโตรเคมี โรงงานปูนซีเมนต์ และได้เริ่มขยายฐานลูกค้าด้วยการสรรหาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบสำรองไฟฟ้าและพลังงาน โดยเน้นกลุ่มโรงแรม อาคารขนาดใหญ่ อาคารโรงพยาบาล หรือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อให้ธุรกิจมีความหลากหลายและกว้างไกล มุ่งหวังว่ารายได้จากกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ จะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต และจะไม่ละเลยการขยายธุรกิจปัจจุบันที่บริษัทฯ มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ให้มีการเติบโตควบคู่กันไปเช่นกัน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IROYAL กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และเร่งสานต่อกลยุทธ์การเป็น One Stop Service ในการบริการจัดหาอุปกรณ์และโซลูชั่นในโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยกลุ่มบริษัท ให้ความสำคัญกับการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในการให้บริการรอบด้านและการตระหนักถึงการบริการที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าอย่างยั่งยืนมากกว่าแค่การให้บริการโดยทั่วไป โดยทำหน้าที่ออกแบบ ให้คำปรึกษา และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้า รวมทั้งการเข้าบริหารสินค้าคงคลังในส่วนที่กลุ่มบริษัทจัดหาและจำหน่าย ทำหน้าที่รับผิดชอบเติมผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า (Vendor Managed Inventory) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเก็บสะสมผลิตภัณฑ์ในคลังสินค้าที่มากเกินความจำเป็น การตรวจสอบและซ่อมบำรุงอุปกรณ์เพื่อให้มีความเสถียรและปลอดภัย การติดตั้งงานให้อยู่ในกรอบเวลาที่ลูกค้ากำหนดตามรอบการหยุดเดินเครื่องจักร (Shutdown Period) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นการให้บริการที่ครบวงจร (One Stop Service) ที่ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์และการบริการ เพื่อขึ้นแท่นสู่ผู้นำธุรกิจด้านโซลูชั่นพลังงานไฟฟ้าในอนาคตและรุกสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศ
ด้านบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองว่า IROYAL มีศักยภาพในการเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มโรงไฟฟ้าไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อุปกรณ์และผลิตภัณฑ์ของ IROYAL สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น กลุ่มปูนซีเมนต์ และกลุ่มปิโตรเคมี เป็นต้น พร้อมคาดการณ์อัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไรต่อปี (CAGR) 3 ปีข้างหน้า (2567-2569) ที่ 37% จากทั้งรายได้เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มโรงไฟฟ้าและการขยายไปลูกค้ากลุ่มอื่น แม้การขยายไปกลุ่มอื่นจะมีอัตรากำไรต่ำกว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า แต่สามารถก่อให้เกิดคำสั่งซื้อซ้ำ สร้างรายได้ประจำ (Recurring income) ในอนาคต
บล.เมย์แบงก์ฯประเมินมูลค่ากิจการด้วยวิธี P/E โดยเปรียบเทียบกับ 1) บริษัทที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 2) บริษัทที่ทำธุรกิจโรงไฟฟ้า และ 3) บริษัทที่ทำธุรกิจเทียบเคียงกับ IROYAL ในต่างประเทศ ซึ่งมี P/E ปี 2568 เฉลี่ยจากทั้ง 3 กลุ่มที่ 14.98 เท่า ประเมินว่า IROYAL สมควรที่จะมี P/E เทียบเท่า จากลักษณะของธุรกิจของ IROYAL ที่มีทั้งรายได้ที่สม่ำเสมอและรายได้ที่มาจากโครงการต่างๆ นอกจากนี้ คาดการณ์จะมี ROAE ปี 2568-2569 ที่สูงที่ 18-21% และจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Fully-diluted EPS) ในปี 2568 สูงถึง 79% และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกำไร (CAGR) 37% ดังนั้นภายใต้การคาดการณ์ Fully-diluted EPS ปี 2568 ที่ 0.7 บาท และอ้างอิง P/E ปี 2568 ที่ระดับ 15 เท่า ราคาเป้าหมายจะเท่ากับ 10.50 บาท
บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า IROYAL มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้กับสถาบันการเงิน ประกอบกับความสามารถทำกำไรที่ดี มาจากการที่บริษัททยอยปรับตัวให้เท่าทันกับสถานการณ์โลก มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มการดำเนินงานในอนาคต จากการเติบโตของรายได้ที่เร่งตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2566 ทำให้มีโอกาสเติบโตที่ดีในอนาคต โดยคาดการณ์กำไรในปี 2567-2568 จะเติบโตเนื่องจากการขยายตัวจากการมีโอกาสรับงานใหม่มากขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นสูงขึ้นตามรายได้
“ประเมินว่าอัตรากำไรสุทธิจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากกว่า 20% ทำให้ในปี 2567-2568 จะเป็นช่วงที่กำไรเติบโตสูงเฉลี่ย CAGR 37% ต่อปี ประเมินราคาเป้าหมายในปี 2568 อยู่ที่ 10.20 บาท อ้างอิง P/E ที่ 17 เท่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย P/E ที่ 20 เท่าของกลุ่มหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งคล้ายคลึงกับธุรกิจ IROYAL ที่เป็นผู้ให้บริการด้านวิศวกรรมเพื่อจัดหาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในระบบการผลิตของโรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม และประเมินกำไรต่อหุ้นที่ 0.60 บาท
บล.ไอร่าประเมินว่า IROYAL มีความโดดเด่นและมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรม ได้แก่ การมีผลงานและประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจรวมกว่า 40 ปี เป็นบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่คู่แข่งขันน้อยราย ลูกค้ามี Switching Cost ที่สูง และเป็นบริษัทใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-Light สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการบริหารจัดการเงินทุนได้สูงสุด รวมถึงมีอัตราการซื้อซ้ำ (Repeating Order) ของลูกค้ากลุ่มเดิมที่สูง คาดว่าบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการซื้อซ้ำ (Repeating Order) ของลูกค้ากลุ่มเดิม และสามารถ Cross-selling สินค้าใหม่ให้ลูกค้ากลุ่มเดิมได้ มีการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มโรงไฟฟ้า เพื่อกระจายความเสี่ยงของรายได้ นอกจากนี้ ยังเป็นบริษัทมีแผนที่จะเติบโตแบบ Inorganic Growth จึงประเมินมูลค่าหุ้น IROYAL สำหรับปี 2568 โดยใช้วิธี Justified PE อ้างอิง PE ที่ 14.27 เท่า ทำให้ได้ราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 10.28 บาท และประเมินกำไรต่อหุ้นปี 2568 ที่ 0.72 บาท