JMT เล็งผลงานฟื้นครึ่งปีหลังหนุน JMART ลุ้นปิดดีล JV AMC แห่ง 2 ปลายปีนี้

HoonSmart.com>> “เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส”(JMT) เล็งผลงานเริ่มเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 3 หลังผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จาก ECL เริ่มลดลงในเดือนก.ค. และมีทิศทาง Sideway Down ไปเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นปีนี้ ผลักดันผลดำเนินงาน”เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์”(JMART) ดีขึ้นไปด้วย อีกทั้ง JMT เล็งออกหุ้นกู้ในไตรมาส 4/67 นำเงินใช้ซื้อหนี้มาบริหาร และใช้ทำดีล JV AMC แห่งที่ 2 ที่คาดจะสำเร็จปลายปีนี้ สำหรับ SINGER และ SGC ไม่มีการตั้งสำรองก้อนใหญ่แล้ว ขณะที่ธุรกิจ Locked Phone สามารถสร้างการเติบโตได้ตามที่วางไว้

ด้านราคาหุ้นกลุ่ม J วิ่งยกแผง “JMART-JMT-SINGER-SGC” 

นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อมั่นว่าผลดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในไตรมาส 3 นี้ หลังจากที่ผลขาดทุนทางด้านเครดิต (Expected Credit Loss: ECL) เริ่มลดลงในเดือนก.ค. จากการติดตามหนี้อย่างใกล้ชิดกับลูกค้า และทิศทาง ECL อยู่ในฐาน Sideway Down ไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะรักษาไปจนถึงสิ้นปี(2567)

สำหรับกาชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนก.ย. 625 ล้านบาท และเดือนพ.ย. 1,000 ล้านบาท บริษัทฯมีเงินพร้อมจ่ายแล้ว ส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในเดือนเม.ย.ปี 2568 บริษัทฯก็มีแนวทางของแหล่งเงินมาจากกระแสเงินสด 4,500 ล้านบาทของครึ่งหลังปี 2567, จากเงินสดในบริษัท 1,000 ล้านบาท, จากความสามารถในการกู้ธนาคาร 950 ล้านบาท และ 500 ล้านบาทมาจากเงินปันผล รวมถึงยังมีแหล่งเงินทุนจากการออกหุ้นกู้ด้วย โดยในไตรมาส 4 ปี 2567 บริษัทคาดว่าจะออกหุ้นกู้ เพื่อนำเงินมาใช้ซื้อหนี้มาบริหารได้ถึงปี 2568 อีกทั้งอาจจะนำมาใช้ในการทำ JV AMC แห่งที่ 2 ร่วมกับะนาคารพาณิชย์ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาจึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่า มีโอกาสที่จะเห็นผลยอดจัดเก็บ (Cash Collection) ฟื้นตัวกลับขึ้นมา (Return) เนื่องจากขณะนี้ได้หยุดลงแล้ว ซึ่งการเก็บหนี้ของบริษัทดีขึ้น แต่บริษัทยังคงตั้งงบค่าใช้จ่ายสำหรับการฟ้องคดีในปีหน้า (2568) ไว้ประมาณ 1,012.5 ล้านบาท จากครึ่งหลังปี 2567 ทีมีงบฯค่าใช้จ่ายสำหรับการฟ้องคดีอยู่ 500 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มใช้งบส่วนนี้แล้ว และจะทยอยใช้ต่อไป

นายปิยะ พงษ์อัชฌา รองประธาานเจ้าหน้าที่บริหาร JMT กล่าวว่า ในปี 2568 คาดว่าผลดำเนินงานของ JMT จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2566 เนื่องจากคลายความกังวล ECL และในปี 2568 บริษัทฯมีแผนที่จะขายสินทรัพย์ของบริษัทลูก JAM ออกไป เพื่อนำเงินไปลดดอกเบี้ยจ่าย และซื้อหนี้กลุ่มใหม่เข้ามาเพิ่ม โดยบริษัทฯมีโอกาสสูงที่จะได้เข้าไปซื้อหนี้ที่มีคุณภาพ

JMT ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้รวมอยู่ที่ 1,306 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.6 สนับสนุนงวด 6 เดือนแรกปี 2567 มีรายได้รวมเท่ากับ 2,662.4 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11 โดยรายได้ในส่วนบริหารหนี้ด้อยคุณภาพซึ่งมีสัดส่วนเท่ากับร้อยละ 88 ของรายได้รวม ยังคงมีการเติบโตที่ดี และจะค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับการจัดเก็บกระแสเงินสด

สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นในไตรมาส 2 ปี 2567 เท่ากับ 387 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 33 จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่มีผลประกอบการต่ำที่สุดของปี ส่งผลให้ในงวด 6 เดือน ปีนี้มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 785 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 22 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 28.1

ทั้งนี้ บริษัทฯ มียอดกระแสเงินสดจากการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ในไตรมาส 2 ปี 2567 กรณีรวมกระแสเงินสดที่จัดเก็บของบริษัท บริหารสินทรัพย์ เจเค (JK AMC) เท่ากับ 2,111 ล้านบาท เป็นส่วนของ JMT มีการจัดเก็บเท่ากับ 1,309 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1/67 ร้อยละ 9 สำหรับงวด 6 เดือนปี 67 กรณีกระแสเงินสดที่จัดเก็บรวม JK AMC เท่ากับ 4,216 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.64 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเป็นส่วนของ JMT มีการจัดเก็บเท่ากับในรอบ 6 เดือน เท่ากับ 2,758 ล้านบาท

“ภาพรวมผลงานครึ่งปีแรก ยอดกระแสเงินสดจากการจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องของสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผลขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 แต่มองว่าเป็นช่วงต่ำสุดของปีแล้ว และภาพรวมธุรกิจจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ด้วยความพยายามในการติดตามหนี้อย่างใกล้ชิดกับลูกค้า ซึ่งคาดว่า ECL จะทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดจะเห็นผลยอดจัดเก็บกลับเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพ” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ภาพรวมการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในปีนี้ ตั้งเป้างบซื้อหนี้ในครึ่งปีหลังอีก 1,500-2,000 ล้านบาท ในกลุ่มหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน อาทิ กลุ่มบัตรเครดิต หนี้สินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วย Yield IRR 12% จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 JMT สามารถจบดีล ซื้อหนี้ได้เท่ากับ 535 ล้านบาท

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.38 บาทต่อหุ้น โดยขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 22 ส.ค. 2567 และจ่ายปันผลวันที่ 5 ก.ย. 2567

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2567 เท่ากับ 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 156 สำหรับงวด 6 เดือน ปี 2567 เท่ากับ 576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 164 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากในครึ่งปีแรกไม่มีรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่น และไม่มีส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม สะท้อนการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) และ บริษัท เอสจี แคปปิตอล (SGC) ที่ไม่มีการตั้งสำรองก้อนใหญ่แล้ว ขณะที่ ธุรกิจใหม่เทคโนโลยี Locked Phone สามารถสร้างการเติบโตได้ตามที่วางไว้ ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงที่รัดกุม

สำหรับรายได้รวมประจำไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 3,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 17.1 ล้านบาท และงวด 6 เดือน อยู่ที่ 6,857 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 214.2 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.2 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น แม้ภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสินค้าเทคโนโลยี ภายใต้ บริษัท เจมาร์ท โมบาย และธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) บริษัทยังคงมองทิศทางครึ่งปีหลังจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก โดย JMT ยังคงตั้งเป้าหมายในการจัดเก็บกระแสเงินสดให้เพิ่มขึ้น ด้วยการติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด และเพิ่มกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งคาดว่า ECL จะทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 และ 4 นี้ และคาดจะเห็นผลยอดจัดเก็บกลับเข้ามาอย่างมีประสิทธิภาพ

ในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์การค้า JAS Green Village ประเวศ เป็นแห่งที่ 7 ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สนับสนุนกำไรเติบโตก้าวกระโดด และคาดจะเปิดอีก 1 แห่งภายในไตรมาส 3 ปีนี้

“ผลการดำเนินงานที่ประกาศออกมาพลิกกลับมาเป็นบวกต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ยอดรวมกำไร 4 ไตรมาสล่าสุด รวมกันแล้วมากกว่า 1 พันล้านบาท สามารถพิสูจน์ว่า เราเดินตามแผน แก้เกม และกลยุทธ์การเติบโตที่วางไว้จะค่อยๆ ส่งกำไรกลับมาให้บริษัทอย่างแข็งแกร่ง บริษัทในกลุ่มบริหารหนี้ของ JMT แต่ทิศทางจะดีขึ้นในครึ่งปีหลังและปีหน้า พัฒนาการที่ดีขึ้นของ SINGER และ SGC โดยเรายังชูสินเชื่อ SG Finance+ ผลักดันแคมเปญ Locked Phone เป็นดาวดวงใหม่อีกดวง อย่างไรก็ดี สำหรับสุกี้ ตี๋น้อย ยังคงเป็นบริษัทที่ส่งกำไรกลับมาให้ JMART ในไตรมาสนี้อย่างแข็งแรง” นายอดิศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเจมาร์ท ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้การดำเนินงานร่วมกันของกลุ่มบริษัทย่อยและร่วม โดยมี 6 สายธุรกิจหลัก ที่เน้นการประกอบธุรกิจหลักในธุรกิจค้าปลีก และการเงิน ด้วยเทคโนโลยี ปักธงปีนี้ผลงานเทิร์นอะราวด์ตามนัด พร้อมกับฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ในการชำระคืนหุ้นกู้ได้ตามกำหนดแน่นอน

ด้านราคาหุ้นกลุ่ม J วิ่งยกแผง  โดย JMT ปิด 12.90 บาท +3.30 บาท หรือ 30% มูลค่าซื้อขายหนาแน่น 903.78 ล้านบาท

JMART ปิดซิลลิ่ง 11.90 บาท +2.80 บาท มูลค่าซื้อขาย 395.24 ล้านบาท

ขณะที่ SINGER ขึ้นไปหวุดหวิดซิลลิ่ง สูงสุด 8.40 บาท ปิด 8.20 บาท +1.70 บาท หรือ 26.15% มูลค่าซื้อขาย 380.58 ล้านบาท

SGC หวิดซิลลิ่งเช่นกัน ขึ้นไปสูงสุด 1.44 บาท ปิด 1.41 บาท +0.29 บาท หรือ 25.89% มูลค่าซื้อขาย 180.56 ล้านบาท