HoonSmart.com>>จันทร์ทมิฬ!! 5 ส.ค.67 หุ้นโลกดิ่งนรก ตลาดเอเชียทรุดยกแผง นำโดยญี่ปุ่นทรุด-12.4% แย่สุดในรอบ 37 ปี หลังเงินเยนแข็งค่าเร็วจากขึ้นดอกเบี้ย บีบ Yen Carry Trade เกาหลีใต้ต้องหยุดเทรดชั่วคราว 20 นาที หุ้น TIP เกาะคอร่วง 2-3% ต่างชาติขายหุ้นไทยเพียง 72 ล้านบาท จ่อหลุด 1,200 คาดลงได้อีก แนะให้ถือเงินสด หุ้นสหรัฐ-ยุโรปลงต่อ ด้าน CIMBT คาดเฟดหั่นดอกเบี้ย 0.5%ในเดือนก.ย.และพ.ย. ส่วนธ.ค.ลง 0.25% กดดันไทยต้องลงตามธ.ค.นี้ 0.25%
ตลาดหุ้นทั่วโลกเจอวิกฤตการณ์ ฝั่งเอเชียร่วงยกแผงนำโดยญี่ปุ่นทรุดหนัก -12.4% หลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ย กดดันให้เงินเยนแข็ง ต้องขายหุ้นคืนเงินกู้ดอกเบี้ยสูงขึ้น (Yen Carry Trade) ล่าสุดเยนแข็งค่าเร็วในรอบ 7 เดือน เทียบดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 142.05 ส่วนหุ้นไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ (TIP) ร่วงลงแห่งละ 2-3% โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยเพียง 72 ล้านบาท แต่ขายใน TFEX 51,291 สัญญา ทั้งนี้ DELTA ที่มีมาร์เก็ตแคปสูงสุด ร่วงลงแรง -5.69% ปิดที่ 95.25 บาท มีผลต่อดัชนีลดลง 5.79 จุด
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ร่วงหนักเช่นเดียวกับต่างประเทศ หลายตลาดเข้าสู่ภาวะตลาดหมี ไม่เว้นแม้แต่ไทย โดยดัชนีฯร่วงทำ New Low ในรอบกว่า 3 ปี หลังหลุด Low ของปีนี้ที่ 1,281 จุด (ช่วงมิ.ย.2567) จากความกังวลหลายปัจจัยทั้งความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงถดถอย, สงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล, Yen Carry Trade รวมถึงการเลือกตั้งในสหรัฐ
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าดัชนีฯจะลงลึกรอบนี้เท่าไร ถ้าคนยังมองหุ้นลลง ก็จะลงไปเรื่อย ๆ คนที่เล่นหุ้น Tech ก่อนหน้านี้มีกำไรเยอะ ก็จะขายก่อน ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะลงไปถึงตรงไหน เราก็ต้องตามน้ำไป วันนี้ต่างชาติคง Short อีกทั้งไทยไม่มีตัวขับเคลื่อน ทำให้ตลาดเกิด Panic ขายล็อกกำไร ลด Position หนีตายก่อน ดังนั้นจึงแนะนำให้ถือสินทรัพย์ปลอดภัย แล้วรอดูสถานการณ์ก่อน”
แนวโน้มตลาดพรุ่งนี้ (6 ส.ค.) ยังมีโอกาสปรับตัวลง หลังหลุด 1,281 จุดแล้วก็จะลงอีกกี่จุดก็ได้ พร้อมให้จับตาดูวันนี้ต่างชาติจะ Short มากแค่ไหน ถ้ามากก็มีโอกาสที่ดัชนีฯจะลงลึกได้ แต่ถ้า Short ไม่มาก ดัชนีก็อาจลงน้อยหน่อย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หลังจากที่ดัชนีฯหลุด 1,280 จุด ก็ไม่น่าซื้อแล้ว เพราะทำ Low ใหม่ของปีนี้ และ New Low ในรอบกว่า 3 ปีด้วย จึงแนะให้ถือเงินสดไว้ก่อน ยังตอบยากจะลงลึกแค่ไหน แต่กรอบแรกที่จะลง มองไว้แถว 1,250-1,260 จุดก่อน เวลานี้ตลาดเผชิญกับหลายปัจจัยทั้งกลัวเศรษฐกิจถดถอย, Yen Carry Trade ปิดสถานะ หลังนโยบายการเงินของญี่ปุ่นมีความเข้มงวดขึ้น รวมถึงสงครามตะวันออกกลางที่ตึงเครียดขึ้น ทำให้ตลาดภูมิภาคร่วงหมด และตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ร่วงราว 2% แม้แต่ Nasdaq ฟิวเจอร์ส ก็ร่วงไปเกือบ 4%
ตลาดวันที่ 6 ส.ค.ยังมีแนวโน้มที่ลงได้ต่อ เนื่องจากไม่มีปัจจัยอะไรที่ทำให้ขึ้นได้ ให้แนวรับ 1,260-1,250 จุด ส่วนแนวต้าน 1,300 จุด สัปดาห์นี้ให้ติดตามศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล และรอดูการประชุมครม.พรุ่งนี้ ส่วนปัจจัยต่างประเทศให้ติดตามยอดค้าปลีกของยุโรป และตัวเลขส่งออกของจีนในวันที่ 7 ส.ค.
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างย่อตัวลงกันหมด โดยเฉพาะตลาดที่มีหุ้น Tech มากจะร่วงแรง เช่นตลาดหุ้นญี่ปุ่นร่วง 12%, ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวัน ร่วงตลาดละ 8% แต่ตลาดหุ้นไทยจะลงน้อยกว่าตลาดอื่น เพราะที่ผ่านมาตลาดอื่นขึ้นกันแต่ตลาดไทยไม่ขึ้น จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ตลาดคาดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย.ถึง 0.50% ถือว่าเป็น Action ที่แรง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และเงินดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวลงเร็ว รวมถึงกังวล Yen Carry Trade ปิดสถานะ หลัง BOJ ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ตลาดผันผวนหนัก
“นักลงทุนที่ไม่ถือหุ้นอยู่ ให้รอดูระดับดัชนีแกว่งออกข้างหรือยัง และรอดูวอลุ่มเทรด ถ้าดัชนีฯยืนได้ สัญญาณขายก็ตอบรับไปบางส่วนแล้วค่อยเก็บ ควรจะรอดู 1-2 วันก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นอยู่ ดูว่ามีหุ้นอะไร ถ้าผลประกอบการแย่ ก็ให้แบ่งขายออกมาบ้าง แต่ถ้ามีหุ้นที่มีผลประกอบการดี และยังดีต่อในครึ่งปีหลัง มองว่าราคาลงลึกเกินที่จะ Cut ควรถือไว้ก่อน”นายวิจิตรกล่าว
สำหรับทิศทางการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (6 ส.ค.) ตลาดน่าจะแกว่งออกข้างได้ แต่ก็ไม่ควรหลุดแนวรับ 1,273 จุด ส่วนแนวต้าน 1,290 จุด
ด้านค่าเงินบาทปิด 35.23 ระหว่างวันแข็งค่าสุดที่ระดับ 35.05 บาท/ดอลลาร์ ส่วนค่าเงินเยนแข็งค่าสุดในรอบเกือบ 6 เดือนครึ่ง นับตั้ง 16 ม.ค. 2567 เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0-0.1% เป็น 0.25% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2551
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะต้องใช้ยาแรงเพื่อดูแลเศรษฐกิจ คาดจะเร่งลดดอกเบี้ยในช่วงการประชุมอีก 3 ครั้งที่เหลือของปีนี้ โดยเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในเดือนก.ย.และพ.ย.รวม 2 ครั้ง และลด 0.25% ในเดือนธ.ค.นี้ รวมทั้งสิ้น 1.25% ส่วนไทยจะปรับลด 0.25% ในเดือนธ.ค.นี้เพื่อลดช่องวางของอัตราดอกเบี้ยไทยกับสหรัฐ ลดผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่วนการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดตามทฤษฎี ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง แต่คาดว่าจะอ่อนไม่นาน มีโอกาสกลับมาแข็งค่า เพราะเงินดอลลาร์เป็นแหล่งหลบภัยที่ดี (haven asset)
สอดคล้องนักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ป คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในเดือนก.ย.และพ.ย. และอีก 0.25% ใน
เดือนธ.ค.
อย่างไรก็ตาม นายอมรเทพ เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เกิดถดถอยคาดเป็นเพียงการชะลอตัว และส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงจะโตไม่ถึง 2.3%
นักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้าเป็น 25%จากเดิมที่ 15% แต่ยังมีอีกหลายเหตุผล ที่ไม่ควรกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย แม้อัตราการว่างงานจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม