HoonSmart.com>>บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้นไทยเดือนส.ค. มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุดหลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุง ทั้ง SET Index ย่อตัวลึกกว่ามูลค่าทางพื้นฐาน พร้อมให้กรอบเดือนนี้ไว้ที่ 1,288–1,350 จุด กลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้แนะนำหุ้นกำไรครึ่งหลังปี 67 โดดเด่น อย่าง AOT, BEM, BDMS, BJC, PLANB, GFPT
บล.เอเซีย พลัส มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index เดือนส.ค. ไว้ที่ 1,288–1,350 จุด หลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย จับตาการเมืองไทยเข้มข้น โดยเฉพาการเมืองในสหรัฐที่คะแนนความนิยมมักจะเหวี่ยงไปตามผลโพลสำรวจ ขณะที่นโยบายการเงินไทย สหรัฐ เริ่มแตกต่าง ส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรเริ่มแคบลง หนุนบาทแข็ง กลยุทธ์การลงทุนในเดือนนี้แนะนำหุ้นกำไรครึ่งหลังปี 2567 โดดเด่น อย่าง AOT, BEM, BDMS, BJC, PLANB, GFPT
ช่วงเดือน ส.ค. จับตาประเด็นการเมืองเข้มข้น โดยเฉพาะการเมืองในสหรัฐ ขณะที่ธีมการลงทุน POLICY PLAY มักเหวี่ยงไปตามผลโพลสํารวจว่าพรรคใดจะครองเสียงคะแนนความนิยมมากกว่ากันหากพรรค REPUBLICAN ได้คะแนนนิยม คาดหนุนความหวังย้ายฐานการผลิต เพื่อหลีกหนี TRADE WAR มาที่ไทย ดีต่อกลุ่มนิคม (WHA, AMATA) แต่ถ้าพรรค DEMOCRAT ได้รับความนิยมหนุนทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยแบบผ่อนคลายมากขึ้น หากเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม ดีต่อกลุ่ม High Yield (MTC, TIDLOR, SIRI, LH)
ส่วนการเมืองไทยเข้าใกล้ความชัดเจน 2 คดี ใหญ่ในเดือนนี้ คือ คดียุบพรรคก้าวไกล (7 ส.ค.67), คดีถอดถอนนายกฯ เศรษฐา (14 ส.ค.67) ในช่วงเวลาก่อนรู้ผล การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินอาจกดดันตลาดหุ้นไทยผันผวน ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงในหลายประเทศเริ่มชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ เชื่อว่าจะช่วยลดความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยนหนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพทยอยแข็งค่า และ Fund Flow ไหลกลับมากขึ้น หลังก่อนหน้านี้ Fund Flow ต่างชาติไหลออก 1.2 แสนล้านบาท (YTD) กดดัน SET Index ปรับตัวลง 7.6% และใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี
ส่วนภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนส.ค. ประเมินมีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุดหลังเริ่มเห็นหลายปัจจัยช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ทั้ง SET Index ย่อตัวลึกกว่ามูลค่าทางพื้นฐาน ในเชิง PE, PBV และ Market Earning Yield Gap อีกทั้งเศรษฐกิจ ไทย BOTTOM OUT จากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่าย ภาครัฐ (G) ภาคการการลงทุน (I) รวมถึงภาคการบริโภค (C) คาด เป็นตัวช่วยให้ GDP GROWTH ไทยทยอยเติบโตเป็นขั้นบันได โดย ทั้งปี 2567 IMF เพิ่มการเติบโตเศรษฐกิจไทยจาก 2.7% เป็น +2.9%YoY อีกทั้งยังมีแรงผลักดันดัชนีจากประเด็นอื่น ทั้งการเพิ่มเสถียรภาพจากตลาดหลักทรัพย์ อย่าง UPTICK และรอรับเม็ดเงินจากกองทุน THAIESG ใหม่ที่ผ่านครม.เรียบร้อย คาดจะช่วยหนุนให้ดัชนีค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวกลับขึ้นไปเหนือ 1,400 จุด อีกครั้งได้ไม่ยากเย็นนัก
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2567 มีโอกาสเติบโต QoQ / YoY โดยข้อมูล จาก BLOOMBERG CONSENSUS 140 บริษัท คาดกำไรไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 2.34 แสนล้านบาท เติบโต +5.6%QOQ และ 27.1%YOY (26 ก.ค. 67) จึงประเมินว่ากำไรตลอดปี 2567 ไม่น่าจะมี Downside มากนักจากประมาณการเดิมของ ASPS ที่ประเมิน EPS ปี 2567 อยู่ที่ 91.40 บาท/หุ้น (เติบโต 14%YoY) ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุน แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งที่ แนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังโดดเด่น AOT, BEM, BDMS, BJC, PLANB, GFPT