“หากไม่ลงทุนในจีน กองทุนไปลงทุนที่ไหน”
ก่อนหน้านี้ไม่นานประเทศจีนยังเป็นที่ดึงดูดการลงทุนอย่างมาก และแม้ปัจจุบันนักลงทุนจะให้ความสนใจการลงทุนในธุรกิจยาลดน้ำหนักและ AI มากขึ้น
แต่บริษัทเทคโนโลยีอย่างเช่น Alibaba และ Tencent ก็ยังถูกพูดถึงอยู่บ่อยๆ ในช่วงที่ตลาดหุ้นจีนเป็นที่นิยมอย่างมากนั้นการจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนก็เพิ่มขึ้นอย่างมากและราคาหุ้นโดยรวมก็เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในเดือนตุลาคมปี 2020 นั้น ตลาดหุ้นจีนมีน้ำหนักอยู่ใน MSCI Emerging Markets Index มากถึง 42.8%
อย่างไรก็ดีความนิยมในตลาดจีนได้ลดลงหลังจากมีหลายปัจจัยเข้ามากระทบ เช่น เศรษฐกิจที่อ่อนแอลงและปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ การเข้าแทรกแซงธุรกิจการศึกษาและเกมส์ออนไลน์ของรัฐบาลจีน รวมไปถึงความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ทั้งนี้แม้จะมีแรงขายออกมาจากนักลงทุนแต่โดยรวมน้ำหนักหุ้นจีนใน MSCI Emerging Markets Index ยังคงมีน้ำหนักมากที่สุดหรือประมาณกว่า 20% ของดัชนี ทั้งนี้น้ำหนักการลงทุนในจีนของกองทุนในกลุ่ม Emerging Markets ก็ปรับลดลงเช่นกันจึงเกิดคำถามว่าแล้วเงินลงทุนได้ย้ายไปลงทุนที่ไหนแทน
อินเดียและไต้หวัน
ทางเลือกแรกที่เห็นได้ชัดของนักลงทุน คือ การย้ายเงินลงทุนจากจีนไปอินเดียและไต้หวัน ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ตลาดหุ้นมีสภาพคล่องและหลักทรัพย์มากพอรองรับเงินลงทุนที่ย้ายมา (ปกติผู้จัดการกองทุนที่มีกองทุนขนาดใหญ่มักให้ความสำคัญต่อการลงทุนใหลักทรัพย์ที่สภาพคล่องเพียงพอรองรับการซื้อขาย)
ทั้งนี้ ทั้งอินเดียและไต้หวันมีน้ำหนักใน MSCI Emerging Markets Index ประเทศละเกือบ 18% ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่ใหญ่รองจากจีนเช่นกัน
อินเดียและบราซิล
GQG Partners Emerging Markets Equity มีการลงทุนในจีนเพียงแค่ 5% และไต้หวัน 9% ขณะที่อินเดียมีน้ำหนักการลงทุนมากถึง 32% เนื่องจากผู้จัดการกองทุนเห็นว่าอินเดียยังมีบริษัทจำนวนมากที่ยังเติบโตได้ดี รวมไปถึงการมีประชากรจำนวนมาก และรัฐบาลยังมีแผนผลักดันโครงสร้างพื้นฐานของประเทศอีกด้วย นอกจากนี้กอง GQG ยังเน้นการลงทุนในบราซิลด้วยน้ำหนักประมาณ 17% ของสินทรัพย์กองทุน ซึ่งมากกว่าน้ำหนักของตลาดบราซิลใน MSCI Emerging Markets Index ถึง 3 เท่า
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างอื่น เช่น Morgan Stanley Institutional Emerging Markets Leaders ก็มีน้ำหนักการลงทุนที่มากในอินเดียและบราซิลที่สัดส่วน 44% และ 22% ของขนาดกองทุนตามลำดับ และเห็นว่ารัฐบาลจีนล้มเหลวในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งทำให้จำกัดการเติบโตของประเทศ หรืออย่างกอง Calvert Emerging Markets Focused Growth ที่ลงทุนให้น้ำหนักมากในอินเดียและบราซิลที่สัดส่วน 37% และ 24% เช่นกัน
การลงทุนในส่วนอื่นๆ
ไม่ใช่ว่ากองทุนส่วนใหญ่ใน Emerging markets ที่ไม่ได้ลงทุนในจีนจะไปลงทุนในอินเดียและบราซิล เช่น
Virtus SGA Emerging Markets Equity ที่เน้นลงทุนในเม็กซิโกด้วยน้ำหนักมากถึง 10% ของขนาดกองทุนและมากเป็น 3 เท่าของน้ำหนักประเทศเม็กซิโกในดัชนี MSCI Emerging Markets (ขณะที่กอง GQG ลงทุนในเม็กซิโกด้วยน้ำหนักเพียง 2%) นอกจากนี้ก็มีตลาดหุ้นฮ่องกงซึ่งโดยปกติมักไม่เป็นที่นิยมมากนักสำหรับกองทุนใน Emerging markets (ปกติ MSCI จะจัดให้ตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่ในกลุ่มตลาดประเทศพัฒนาแล้ว)
WCM Focused Emerging Markets มีการลงทุนในจีนเพียง 9% ของน้ำหนักกอง และให้นักหนักลงทุนในอินเดียที่ต่ำกว่าน้ำหนักในดัชนี 5% ที่เหลือเป็นการกระจายการลงทุนไปในประเทศต่างๆกว่า 10 ประเทศ และให้น้ำหนักตั้งแต่ 4-14% โดยไม่ได้ให้น้ำหนักมากไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจนเกินไป
Seafarer Overseas Growth and Income เลือกที่จะลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ด้วยน้ำหนัก 21%ของขนาดกองทุน เนื่องจากมองว่าหลายบริษัทมีความสามารถในการจ่ายปันผลที่สูง
อเมริกา
กองทุน Amana Developing World เน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา โดยมีน้ำหนักลงทุนอยู่ที่ 21% ของน้ำหนักกองทุน (โดยที่ประมาณ 8% เป็นการลงทุนในหุ้น Nvidia) นอกจากนี้ยังลงทุนในประเทศอังกฤษที่ประมาณ 10% หรืออย่าง Artisan Developing World ก็มีสัดส่วนลงทุนหุ้นสหรัฐที่ประมาณ 37% ทั้งนี้ส่วนใหญ่กองทุนใน Emerging-markets ที่ไปลงทุนในหุ้นสหรัฐเพราะมองเห็นว่าบริษัทเหล่านั้นมีรายได้จำนวนมากมาจากประเทศใน Emerging-markets
แนวโน้มเงินไหลกลับไปลงทุนในจีนหรือไม่
หนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่ยังเชื่อมั่นการลงทุนในจีนคือ Sam Polyak ผู้จัดการกองทุน Fidelity Advisor Focused Emerging Markets ซึ่งมีการลงทุนในหุ้นจีนด้วยสัดส่วน 33% ของขนาดกองทุน แต่ลงทุนในอินเดียเพียงแค่ 10% เนื่องจากเชื่อว่าบริษัทในจีนยังมีธุรกิจที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นที่ลดลงมาก็ทำให้มีหุ้นหลายบริษัทน่าสนใจเข้าไปลงทุน
ความจริงตลาดหุ้นอเมริกาใต้นั้นก็มีความน่าสนใจในการเข้าไปลงทุนหลังจากที่การเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยมีหลายๆกองทุนที่เข้าไปลงทุนในประเทศนี้แต่ด้วยน้ำหนักในดัชนีที่ไม่สูงมากหรือน้อยกว่า 3% ของ MSCI Emerging Markets Index ทำให้ยังไม่สามารถทดแทนการลงทุนจากจีน ส่วนตลาดอินเดียในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นก็ปรับขึ้นมาเยอะจนทำให้เริ่มแพงแล้ว ดังนั้นด้วยทางเลือกในการลงทุนที่ยังจำกัดการกลับไปลงทุนที่จีนก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้