KTB ชูกำไร1.1 หมื่นลบ.ไตรมาส 2 ลดรายจ่าย-หนี้ NPLs

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงไทย (KTB) โชว์ผลงานไตรมาสที่ 2/67 กำไร11,195.15 ล้านบาท โต 1.1% จากไตรมาสแรกและขยายตัว 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตั้งสำรองเหมาะสม  ครึ่งปีแรกกำไรรวม  22,273.59 ล้านบาท ขยายตัว 10%  รายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัว  12.9% เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย 

ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2567 มีกำไรสุทธิ 11,195.15 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.80 บาท เติบโต 10.23%จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 10,156.20 ล้านบาท หรือ 0.73 บาทต่อหุ้น เติบโตจากไตรมาสแรก 1.1%โดยรวม 6 เดือนแรกปี 2567 มีกำไรสุทธิ 22,273.59 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.59  บาท เพิ่มขึ้นประมาณ 10.14% จากกำไรสุทธิ 20,222.79 ล้านบาทหรือ 1.45 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 อยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัวท่ามกลางความท้าทายโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งนี้การฟื้นตัวยังต่ำกว่าศักยภาพ และเป็นการฟื้นตัวแบบ K-shaped Recovery โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การลดภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงมาตรการเพิ่มกำลังซื้อผู้บริโภคในระยะข้างหน้า ขณะที่ภาคการส่งออกฟื้นตัวได้จำกัดจากปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ มาตรการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น และสภาวะภูมิอากาศแปรปรวน

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังได้รับแรงกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในขณะที่มีค่าครองชีพสูงขึ้น ธุรกิจ SME รวมถึงธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากที่อยู่นอกระบบยังเปราะบางและขาดความยืดหยุ่นในการปรับตัวจึงฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน

ธนาคารกรุงไทย จึงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ มุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังและยืดหยุ่น รักษา Coverage Ratio ในระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ พร้อมดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ที่มุ่งสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูงให้สามารถปรับตัวและฟื้นตัว ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้พัฒนารูปแบบการช่วยเหลือให้ครอบคลุมและตรงจุด เช่นมาตรการรวมหนี้และแก้หนี้อย่างยั่งยืนตามลักษณะและประเภทของกลุ่มลูกค้าเปราะบาง โดยยึดมั่นในแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) สนับสนุนให้ธนาคารเติบได้โตตามเป้าหมาย ทั้งในด้านคุณภาพสินทรัพย์ และการบริหาร Portfolio เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2567 ธนาคารฯมีกำไรสุทธิ  11,195 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย  1.1%  จากไตรมาสแรก โดยรายได้รวมจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยที่  3.1% สินเชื่ออยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปี 2566 แม้ปรับลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาจากการชำระคืนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อภาครัฐ ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆลดลง  7.3% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ  41.7% สินเชื่อด้อยคุณภาพปรับลงอยู่ที่ 98,701 ล้านบาท และ NPLs Ratio ที่  3.12%

ธนาคารมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและระมัดระวัง ติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด รักษา Coverage ratio ในระดับสูงที่ 181% ตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมาเพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และบริหารจัดการพอร์ต เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารมุ่งเน้นการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างยืดหยุ่นและระมัดระวังต่อเนื่อง รักษา Coverage ratio ในระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ พร้อมตั้งสำรองในระดับที่เหมาะสมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ธนาคารมีกำไรสุทธิ  22,274 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10.1% โดยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานขยายตัว  12.9% ทั้งจากการบริหารจัดการ พอร์ต เพื่อรักษาสมดุลด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนที่มุ่งเน้นคุณภาพ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิและรายได้จากการดำเนินงานอื่นๆ ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในองค์รวมอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 42.6% โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลจากบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายอย่างระมัดระวัง โดยธนาคารตั้งค่าเผื่อด้อยค่าทรัพย์สินรอการขายตามศักยภาพของทรัพย์สินอย่างเหมาะสม อีกทั้งธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ครอบคลุมลูกค้าในทุกภาคส่วนและเพื่อพร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567 ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณ 17.57% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง และมีเงินกองทุนทั้งสิ้น 20.75% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยงซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอโดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage ratio (LCR) อย่างต่อเนื่องสูงกว่าเกณฑ์ที่ธปท.กำหนด

ธนาคารมุ่งช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้มีสุขภาพทางการเงินที่ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมสนับสนุนแนวนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคลและผู้ประกอบการ SME รายย่อย ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR MLR และ MOR 0.25% ต่อปี เป็นเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค. – 15 พ.ย. 2567 ซึ่งสามารถช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้าได้มากกว่า 3 แสนบัญชี คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมมากกว่า 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ยังเดินหน้าขยายความร่วมมือโครงการ “สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน” เพื่อช่วยเหลือข้าราชการกลุ่มเปราะบางที่มีภาระหนี้สูง มุ่งลดภาระทางการเงิน เพิ่มความสามารถในการดำรงชีพอย่างเหมาะสม รวมถึงให้ความรู้ สร้างวินัยการเงิน กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)