HoonSmart.com>> “ธนาคารเกียรตินาคินภัทร” (KKP) เปิดงบ Q2/67 กำไรสุทธิ 769 ล้านบาท ลดลง 45.4% จากงวดปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 9.3% ส่วนตา่งดอกเบี้ยลดตามต้นทุนการเงินปรับตัวสูงขึ้น สินเชื่อใหม่ชะลอตัว ด้านตลาดทุนไม่เอื้ออำนวย ฉุดงวด 6 เดือนกำไรลดเหลือ 2,275 ล้านบาท ลดลง 35%
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2567 กำไรสุทธิ 768.79 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.91 บาท ลดลง 45.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,408.29 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.66 บาท
ส่วนงวด 6 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 2,274.81 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.69 บาท ลดลง 34.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 3,493.15 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.13 บาท
สำหรับไตรมาส 2/2567 ธนาคารเกียรตินาคินภัทรและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 45.4% หากเทียบกับไตรมาส 2/2566 โดยหลักจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 9.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงตามต้นทุนทางการเงินที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 18.8% จากการลดลงของรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่ ประกอบกับภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงไม่เอื้ออำนวย
ด้านค่าใช้จ่ายธนาคารยังสามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิไตรมาส 2/2567 อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีที่ 42.0% ในส่วนของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นปรับตัวลดลง 5.8% หากเทียบกับไตรมาส 2/2566 ตามมาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่ธนาคารได้มุ่งเน้นมาอย่างต่อเนื่อง แต่หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าปรับเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารมีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งบางส่วนมีผลจากฤดูกาลและเพื่อเป็นการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง รวมถึงปัจจัยทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังคงมีความไม่แน่นอน
ทางด้านอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ 4.0% ปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.8% ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 และอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 136.5%
สำหรับงวดครึ่งแรกปี 2567 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิลดลง 34.9% จากงวดเดียวกันของปี 2566 โดยรายได้รวมจากการดำเนินงานปรับลดลง 6.8% โดยลดลงในส่วนของรายไดด้อกเบี้ยสุทธิที่ปรับลดลง 4.5% จากต้นทุนทางการเงินที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับลดลง 13.7% เป็นผลมาจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อที่ลดลงตามการชะลอตัวของสินเชื่อปล่อยใหม่ ประกอบกับภาวะความไม่แน่นอนทางด้านตลาดทุนที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการลงทุน
ทางด้านผลขาดทุนด้านเดรดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ปรับลดลง 20.1% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนตามมาตรการบริหารคุณภาพสินเชื่อที่ธนาคารได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและผลขาดทุนจากการขายรถยึดโดยรวมแล้วยังคงอยู่ภายใต้กรอบเป้าหมายของธนาคาร