HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยไตรมาส 2/67 กำไรดำเนินงานเติบโต แต่กำไรสุทธิลดลง 2.57% เหลือ 8,208.93 ล้านบาท จากการตั้งสำรองมากถึง 11,817 ล้านบาท พุ่งขึ้น 51.3% ชูนโยบายบริหารความเสี่ยงรอบคอบระมัดระวัง ส่วนครึ่งปีนี้กำไรสุทธิ 15,751.54 ล้านบาท ลดลง 7.89% ผลจากสำรอง 24,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 77% ส่วน NIM เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.31% จาก 3.52% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 26.6% NPLs อยู่ที่ 3.05%
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2567 มีกำไรสุทธิ 8,208.93 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 1.12 บาทต่อหุ้น ลดลง 216.37 ล้านบาท คิดเป็น -2.57% จากช่วงเดียวกันที่มีกำไรสุทธิ 8,425.30 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 1.15 บาท เทียบกับไตรมาสแรกปีนี้เติบโต 8.8 % เนื่องจากไตรมาส 2/2537 มีการตั้งสำรอง 11,817 ล้านบาท ลดลง 3.7% จากไตรมาสแรกที่ 12,271 ล้านบาท (3.7%) แต่เพิ่มขึ้นถึง 51.3% จากจำนวน 7,811 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนผลงานรวมครึ่งปีนี้มีกำไรสุทธิ 15,751.54 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 2.14 บาท ลดลงจำนวน 1,350 ล้านบาทหรือ ลดลง 7.89%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17,101.59 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 2.32 บาทมีปัจจัยหลักมาจากการตั้งสำรองที่รอบคอบระมัดระวัง จำนวน 24,088 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ตั้งจำนวน 13,610 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเติบโต 26 % หรือจำนวน 9,128 ล้านบาทจากการรับรู้รายได้เต็มจำนวนจากบริษัทลูกในภูมิภาคอาเซียนที่ได้ควบรวมมาในปี 2566 และกำไรจากการดำเนินงานในประเทศที่เพิ่มขึ้น
ธนาคารกรุงศรีฯยังคงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
การเติบโตโดยรวมของเงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอยู่ที่ 0.8% สะท้อนแรงสนับสนุนต่อความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจ ขณะที่สินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลง 3.5% ตอกย้ำนโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดรัดกุมภายใต้บริบทที่ภาระหนี้ของลูกหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 1.3% หรือจำนวน 25,273 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2566
ส่วนเงินรับฝากเพิ่มขึ้น 4.2% หรือจำนวน 76,787 ล้านบาท จากสิ้นปี 2566 โดยมีปัจจัยหลักมาจากเงินรับฝากประจำ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.31% จาก 3.52% ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งมาจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 2566 แม้ต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้นก็ตาม
สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 26.6% หรือจำนวน 4,708 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการควบรวมธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในต่างประเทศในปี 2566 การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของหนี้สูญรับคืน และกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน
อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 43.3% ปรับตัวดีขึ้นจาก 43.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.05% ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 243 เบสิสพอยท์ และ
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 128.8%
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.87% เทียบกับ 18.24% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปี 2567 ยังคงมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยว การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง กอปรกับการส่งออกที่เริ่มเติบโตตามสภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แรงส่งของเศรษฐกิจไทยยังถูกจำกัดจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายภาครัฐและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยภาพรวม รวมถึงข้อจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
“ภายใต้บริบทความท้าทายดังกล่าว กรุงศรียังคงมีบทบาทที่สำคัญในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปฏิบัติตามมาตรการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปีที่ 2.4% ภายใต้สมมุติฐานว่ากิจกรรมเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง”
ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.99 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.92 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.77 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 307.83 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.87% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 13.75%