HoonSmart.com>> บลจ.มองสัญญาณดีหลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) หั่นดอกเบี้ยครั้งแรกรอบ 5 ปี “บลจ.กสิกรไทย” ชี้ตลาดคาดลดอีก 2 ครั้งปีนี้หนุนตลาดหุ้นในระยะถัด ไป ด้าน EPS Growth ปีนี้คาดน่าสนใจน้อยกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟาก MFC คงน้ำหนักลงทุน Overweight “หุ้นยุโรป” เชียร์กองทุน MEURO, M-EUBANK ส่วน TISCO Wealth Advisory แนะลงทุน “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” ได้ประโยชน์โดยตรงจากดอกเบี้ยขาลง เพิ่มน้ำหนักลงทุน “Global Equity” รับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว”
“HoonSmart” สำรวจมุมมองการลงทุน หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 5 ปี เหลือ 3.75% ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้ว่ากลุ่มยูโรโซนยังเผชิญกับแรงกดดันเงินเฟ้ออยู่ก็ตาม
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) มองเป็นสัญญาณที่ดีของนักลงทุนทั่วโลก ที่ ECB ได้เริ่มเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงเป็นภูมิภาคแรกของเหล่าประเทศแกนหลัก หลังจากที่ได้เริ่มวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นมาตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยหลังจากนั้นต่ออีกเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ ECB ดำเนินนโยบายก่อนโดยไม่รอ Fed ซึ่งปัจจุบันตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ย.นี้
ก่อนหน้านี้ ยุโรปต้องเผชิญกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ผลกระทบจากปัญหาด้านอุปทานหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ที่ทำให้ราคาอาหารและพลังงานพุ่ง จนเงินเฟ้อขึ้นไปแตะที่ระดับสูงกว่า 10% ในช่วงปลายปี 2565 ก่อนจะค่อยๆ ขยับลงมา โดยล่าสุดดัชนีเงินเฟ้อ CPI ทั่วไป และ CPI พื้นฐาน ของยูโรโซนเดือนพ.ค. อยู่ที่ขยายตัว 2.6% และ 2.9% ตามลำดับ เมื่อเทียบรายปี และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ECB ทบทวนนโยบายการเงินและเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้
สำหรับมุมมองการลงทุน บลจ.กสิกรไทยมองว่า การปรับลดดอกเบี้ยของ ECB ในระยะถัดไป ยังขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยเฉพาะพัฒนาการด้านอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งแม้ว่าในการประชุมครั้งนี้ ECB จะมีการปรับประมาณการเงินเฟ้อของปีนี้และปีหน้าขึ้น แต่ตลาดยังคงมุมมองว่า ECB จะสามารถลดดอกเบี้ยได้อีก 2 ครั้ง ในปีนี้ ในการประชุมเดือนก.ย. และธ.ค. ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นในระยะถัดไปได้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อจนกว่า Fed จะเริ่มส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง
“ในแง่ของ Asset Allocation โดยรวม เรายังคงแนะนำน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปเป็น Neutral จาก EPS Growth ในปีนี้ที่น่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่เราให้น้ำหนักเป็น Overweight (EPS Growth ยุโรป ประมาณ 5% เทียบสหรัฐฯ 11%)”
ด้านบลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) มองการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี หรือนับแต่เดือนก.ย.2562 แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.
ทั้งนี้ ธนาคารกลางยุโรปคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ระดับ 2.5% ในปี 2567 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ระดับ 2.2% ในปี 2568
ด้านภาพเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ ยังขยายตัวดี หนุนเศรษฐกิจยุโรปกลับมาฟื้นตัว ล่าสุด GDP ของยูโรโซนไตรมาส 1 ปี 2567 ขยายตัว +0.3%QoQ พลิกเป็นบวกหลังจากที่หดตัว -0.1% ในไตรมาส 4 ปี 2566 ขณะที่ ECB ปรับคาดการณ์ GDP ของยุโรปในปี 2567 ขึ้นเป็น 0.9% จากเดิมที่ 0.6%
ขณะที่ผลประกอบการณ์บริษัทจดทะเบียนใน ดัชนี STOXX Europe 600 แข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นยุโรป ฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดว่า EPS ของหุ้นยุโรปจะโต 10% ในปีนี้ และ Profit Margin ยังคงแข็งแกร่ง
บลจ.เอ็มเอฟซี มองหุ้นยุโรปให้ผลตอบแทนน่าสนใจมากขึ้น จากการที่บริษัทจ่ายปันผลและทำ Share Buyback เพิ่มขึ้น ปัจจัยราคาหุ้นยุโรปยังไม่ตึงตัว โดย Forward P/E ของดัชนี STOXX 600 อยู่ที่ 13.96 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี และยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากนี้ตลาดหุ้นยุโรปมีอุตสาหกรรมที่โดดเด่น และมีบริษัทชั้นนำระดับโลก ที่มีรายได้กระจายทั่วโลก และไม่ได้พึ่งพิงรายได้เฉพาะแค่ในภูมิภาคยุโรป เช่น Healthcare, Premium Brands, Semiconductor, Renewable energy และ Financial
ส่วนปัจจัยจากประเด็นการเมืองในยุโรป คาดว่ามีผลกระทบค่อนข้างจำกัดต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นยุโรปเกิดจาก earnings growth เป็นหลัก
“เราแนะนำลงทุน MEURO กองทุนหุ้นยุโรป ที่มีรายได้มาจากทั่วโลก และน้ำหนักการลงทุนที่ Overweight จากตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาดีกว่าคาดการณ์ และเงินเฟ้อที่ชะลอตัวเข้าใกล้เป้าหมาย ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารยุโรปจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งในปีนี้”
ด้าน TISCO Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ มอง ECB ลดดอกเบี้ยตามคาด มองจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งจะเพิ่มโมเมนตัมเชิงบวกต่อสินทรัพย์ต่างๆ ทั้ง “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” “REITs“ และ “หุ้นโลก” นอกจากนี้ เราคาดว่าหุ้นกลุ่ม “Emerging markets” จะ Outperform หุ้นโลกในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว และมี Upside ในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่ 14% มากกว่าหุ้นโลกที่นักวิเคราะห์คาดไว้เพียง 9% เท่านั้น
“ยังคงคำแนะนำลงทุนใน “ตราสารหนี้ต่างประเทศ” ที่จะได้ประโยชน์โดยตรงจากดอกเบี้ยขาลง ในขณะเดียวกันแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน “Global Equity” จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัว”