HoonSmart.com>>สมาคมบลจ.เรียกประชุมสมาชิกวันศุกร์ที่ผ่านมา ( 21 เม.ย.) หาทางออกเกณฑ์คำนวณ NAV กองทุนถือหุ้น”สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK)” หยุดเทรดนาน ยันมูลค่าไม่มากเทียบกับขนาดกองทุนหุ้นไทย 2.3 แสนล้านบาท ส่วนหุ้นกู้ 5 รุ่นกว่า 9 พันล้านบาท เสี่ยงผิดนัด มีผู้ถือหุ้นกู้ 4,500 ราย สมาคมตราสารหนี้ไทยยกสตาร์คฯเป็นกรณีศึกษา ทริสให้เรทติ้ง BBB+ มีกำไรปีละ 2,000 ล้านบาท แต่กลับมีเหตุผิดนัดชำระหนี้ ตามข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออก ด้านทริสฯลดเครดิตลงพรวดเหลือ “BB-” ก.ล.ต.ส่งหนังสือถึงบริษัทให้ชี้แจงเรื่องกรรมการลาออก ค้างส่งงบ
แหล่งข่าวจากวงการกองทุนรวม เปิดเผยว่า สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) มีการประชุมสมาชิก เมื่อวันศุกร์ที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงผลกระทบและหลักเกณฑ์การคำนวณ NAV สำหรับกองทุนที่มีการถือหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) หลังจากหุ้นหยุดการซื้อขายมานานและยังไม่สามารถส่งงบการเงินปี 2565 ทำให้ไม่มีราคามา Mark to Market คำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโดยให้สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม
ปัจจุบันมีกองทุนรวมลงทุนในหุ้น STARK หลายกอง หลังจากบลจ.หลายแห่ง เข้าไปซื้อหุ้นแบบ PP ราคาหุ้นละ 3.72 บาท โดยสตาร์คเสนอขายทั้งสิ้น 1,500 ล้านหุ้น มูลค่ารวม 5,580 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าไม่สูงนัก เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนหุ้นไทย (ไม่รวม LTF RMF SSF) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 2.3 แสนล้านบาท ณ 31 มี.ค.2566 นอกจากนี้ บลจ.บางราย ที่กระโดดเข้าไปซื้อหุ้น PP ของสตาร์คฯ ได้ตัดสินใจขายหุ้นออกไปแล้ว ในช่วงที่บริษัทล้มดีลซื้อกิจการรายใหญ่
ทั้งนี้จากโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ STARK ณ วันที่ 4 เม.ย. 2565 มีจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 11,354 รายและจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) 9,613 ราย โดยมีกองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นระยะยาว ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 5 สัดส่วน 2.32%
สำหรับผู้ถือหุ้นกู้ของ STARK จำนวน 4,500 ราย ที่ลงทุนในหุ้นกู้ 5 รุ่น มูลค่ารวม 9,198 ล้านบาท ซึ่งจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น วันที่ 28 เม.ย.นี้ พิจารณาเว้นการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ หากไม่เว้นให้ บริษัทจะต้องชำระเงินและดอกเบี้ยของหุ้นทั้งหมดโดยพลัส
น.ส.อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวว่า ยังบอกไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสตาร์คฯ เพราะยังไม่เห็นงบการเงินงวดปี 2565 ล่าสุด ทางสมาคมฯมีการติดตามข่าว ประสานงานกับทุกฝ่ายเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุน และมีการขึ้นเครื่องหมายเตือน ให้ผู้ลงทุนทราบตามขั้นตอน
ทั้งนี้ น่าจะหยิบยกหุ้นกู้ของสตาร์คเป็นกรณีศึกษา(case study) เนื่องจากทริสเรทติ้งให้อันดับเครดิต BBB+ และบริษัทมีกำไรปีละ 2,000 ล้านบาท แต่กลับมีเหตุผิดนัดชำระหนี้ เพราะในหนังสือชี้ชวนมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การที่ไม่ได้ปฎิบัติตามกฎหมายเกี่ยวข้อง หลังจากบริษัทฯไม่สามารถส่งงบการเงินปี 2565 ภายในเวลาที่กำหนดและมีการขอขยายการนำส่งในเดือนพ.ค. และมิ.ย.นี้
“ทริสให้เรทติ้ง โดยมีการวิเคราะห์งบการเงินอย่างละเอียดและสัมภาษณ์ผู้บริหาร ซึ่งอาจจะมีปัจจัยอื่นที่เรามองไม่เห็น กรณีของ STARK จะมีหุ้นกูัครบดีลในเดือนก.ย.มูลค่า 1,200-1,300 ล้านบาท คงจะออกใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์ยาก และอาจจะมีลกระทบทางจิตวิทยาต่อตลาดบ้าง แต่เชื่อว่านักลงทุนแยกแยะปัญหาออกว่าเกิดขึ้นเฉพาะราย ภาพรวมไม่ได้มีปัญหาอะไร”น.ส.อริยากล่าว
ล่าสุด บริษัททริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร STARK จาก “BBB+” เป็น “BB-” ต่ำกว่าระดับการลงทุนหลังจากบริษัทขอเลื่อนการนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 เป็นครั้งที่ 3 คาดว่าจะจัดส่งได้ภายในเดือนมิถุนายน 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัททั้งชุดและผู้บริหารที่สำคัญ รวมถึงการแต่งตั้ง นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารในมุมมองของทริส การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัททั้งชุดนั้น
ได้บ่งชี้ถึงความรุนแรงของปัญหาในการบริหารภายในบริษัท ซึ่งจนถึงปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถชี้แจงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในบริษัทได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้
การขอเลื่อนส่งงบการเงินออกไปอีกนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยที่มากมายยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของงบการเงินในอดีตของบริษัท
ผลจากการที่บริษัทไม่สามารถจัดส่งงบการเงินได้ตามเวลาที่กำหนดถือว่าเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีการจัดประชุมในวันที่ 28 เม.ย. 2566 เพื่อพิจารณาการยกเว้นเหตุผิดนัดจากการส่งงบการเงินล่าช้าในกรณีที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดดังกล่าว ทำให้มีสิทธิเรียกร้องให้จ่ายหนี้ทั้งหมด ทริสอาจปรับลดอันดับเครดิต ลงสู่ระดับ “C” หรือ “D” ได้
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต.กล่าวว่ากรณี STARK มีข่าวเกี่ยวกับ กรรมการลาออก ค้างส่งงบเงินการเงิน สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ประสานกับบริษัทแล้วเพื่อให้ชี้แจงตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว และขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลประกอบการตัดสินใจ