HoonSmart.com>> 4 โบรกเกอร์ส่องหุ้นหลังสงกรานต์ โฟกัสงบไตรมาส 1/66 การเลือกตั้ง คาดเม็ดเงินอัดฉีดราว 1-1.2 แสนล้าน กระตุ้นบริโภค จับจ่ายใช้สอย แบงก์-ค้าปลีกเด่น โพลล่าสุดชู”เพื่อไทย” ส่องนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท/คน ส่งเงินเข้าระบบ 5 แสนล้านบาท เลี่ยงหุ้นโยงการเมือง-อสังหาฯ ราคาขึ้นไปพอควรแล้วเหลือ upside ไม่มาก ท่องเที่ยวเลือกรายตัว เชียร์ BBL, KBANK, SCB, KKP, TISCO, CPALL, BJC, SAPPE, SPA, ADVANC ให้แนวรับ 1,570-1,560 แนวต้าน 1,600-1,625 บล.เมย์แบงก์คาดต่างชาติชะลอลงทุน 1 เดือน กลับมาหลังผลเลือกตั้งชัดเจน
นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนหลังเทศกาลสงกรานต์ โฟกัสผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งจะเริ่มที่กลุ่มธนาคาร ต้องติดตามว่าออกมาดีหรือต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นธนาคารหลายแห่งปรับขึ้นทั้งเงินฝาก และเงินกู้ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกรุงเทพ(BBL) , ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY), ธนาคารกรุงไทย(KTB)
สำหรับประเด็นการเลือกตั้งจะต้องจับตาไปจนถึง 14 พ.ค. ช่วยกระตุ้นการบริโภค กลุ่มพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยได้รับประโยชน์โดยตรง คาดการณ์จะมีเม็ดเงินอัดฉีดราว 1-1.2 แสนล้านบาท ที่จะเข้ามาในระบบ และยิ่งช่วงวันหยุดสงกรานต์หนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย การบริโภคมากขึ้น รวมถึงสถานีให้บริการน้ำมันอย่าง PTG, OR จะได้ประโยชน์จากการเดินทางที่มีมากขึ้น
สำหรับนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสในการคว้าชัยชนะการเลือกตั้งนั้น (อ้างอิงนิด้าโพลล์) นายสมบัติ ได้มองบวกต่อนโยบายที่จะอัดฉีด 10,000 บาทต่อคน ให้คนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป มองว่าช่วยกระตุ้นการบริโภค ทำให้ความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น คนใช้ชีวิตได้ดีขึ้น และยังจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จากการมีเงินเข้ามาในระบบมากขึ้น รวมถึงรัฐสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น บริษัทจดทะเบียนก็มีกำไรเพิ่มขึ้น แต่หากมองในแง่ลบจะเห็นได้ว่าหนี้สาธารณะที่อาจเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
“จริง ๆ ความเห็นส่วนตัวคิดว่าการให้เงิน 10,000 บาทต่อคน ไม่ควรจะให้ทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป เพราะอาจเป็นการจัดสรรผิดประเภท อย่างพวกชนชั้นกลาง และคนรวย ไม่จำเป็นต้องให้ เพราะไม่ได้เดือดร้อนอะไร …เงิน 10,000 บาทเป็นการให้ในแบบเงินดิจิทัล ซึ่งจะคุมการใช้ได้ คงจะไม่มีการเอาไปเล่นพนันบอล เพราะมีระยะห่างจากบ้านไม่เกิน 4 กิโลเมตร”
ดังนั้นในช่วงหลังสงกรานต์หุ้นที่น่าลงทุนมองเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มค้าปลีก โดยแนะนำหุ้น BBL, KBANK, KKP, TISCO, CPALL, BJC พร้อมมองแนวรับ 1,570-1,560 จุด แนวต้าน 1,600-1,610 จุด ส่วน Stop loss อยู่ที่ 1,590 จุด
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ยังมองทิศทางตลาดหุ้นเป็นบวกหลังสงกรานต์ ได้แรงหนุนจากการบริโภคที่ดี ท่ามกลางโฟกัสงบฯมากขึ้น โดยจะเริ่มเข้าสู่ช่วงการทยอยประกาศผลประกอบการบจ. แนะนำลงทุนหุ้นปลอดภัย และมีการเงินที่มั่นคง อย่างหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า, สื่อสาร และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งต้นทุนก๊าซฯลดลงจากปีก่อน ทำให้ไตรมาส 1/2566 ผลงานน่าจะดีขึ้นได้ โดยกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มนิคมฯน่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัว ส่วนหุ้นที่อิงปัจจัยนอกประเทศยังมีความกังวลอยู่
สำหรับการเลือกตั้งทำให้เห็นถึงโอกาสการเปลี่ยนแปลงการเมือง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการบริโภค โดยนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งตามโพลที่ออกมา ในเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท เป็นเงินดิจิทัล ให้กับคนอายุ 16 ปีขึ้นไป ใช้จ่ายกับร้านค้าในพื้นที่ 4 กิโลเมตร ทำให้มีเงินเข้าระบบ 5 แสนล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยคนที่มีปัญหาเรื่องหนี้ฟื้นตัวได้ ดังนั้นจึงได้เห็นหุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์หลายตัวปรับขึ้นแรง อีกทั้งยังให้ธุรกิจเข้าสู่ระบบฐานภาษีด้วย ซึ่งนโยบายนี้ช่วยเพิ่มฐานภาษี
“แจกเงิน 10,000 บาท ทำให้เงินเข้าระบบถึง 5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใหญ่พอควร คิดเป็น 6% ของงบประมาณประจำปี 8.4 ล้านล้านบาท ถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่าย และโครงสร้างหลายอย่างเข้าสู่ดิจิทัลได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ดี ตอนนี้หลายตัวยังไม่กล้าลงทุนมากเพราะยังมีตัวแปรอีกมากในการตั้งรัฐบาล”
ทั้งนี้ หลังสงกรานต์หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอาจจะไม่เคลื่อนไหวมาก อย่างหุ้น SIRI, SC ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว และหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับขึ้นไปมากแล้ว ทำให้มี upside ไม่มาก
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นหลังสงกรานต์คงจะผันผวนในช่วงรอดูงบฯ และรอดูผลการเลือกตั้ง เริ่มด้วยกลุ่มธนาคารคาดว่าไตรมาส 1/66 กำไรจะดีขึ้นเมื่อเทียบ QoQ เนื่องจากไตรมาส 4/65 มีการตั้งสำรองฯไว้มาก ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ คาดงบฯอาจจะไม่เด่น สำหรับการเลือกตั้งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนไปอีก 1 เดือน จะกลับเข้ามาอีกครั้งหลังผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว
ดังนั้นหลังสงกรานต์หุ้นที่น่าสนใจลงทุนยังมองเป็นกลุ่ม Domestic plays เน้นหุ้นพื้นฐานดี และมีเงินปันผล ซึ่งกลุ่มธนาคารยังพอเล่นเก็งกำไรได้บ้าง จาก Valuation ที่ยังไม่แพง แนะนำหุ้น BBL ปลอดภัยสุด คาดกำไรไตรมาส 1/66 เติบโตทั้ง QoQ และ YoY ส่วนหุ้นที่ปันผลดีในกลุ่มธนาคารก็มอง TISCO ให้ผลตอบแทนจากปันผลกว่า 7% และ SCB ให้ผลตอบแทนจากปันผลราว 5% ซึ่งในช่วงหลังสงกรานต์กลุ่มธนาคารจะขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายปันผลกันเกือบทุกตัว
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มค้าปลีกน่าสนใจลงทุน จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น และไตรมาส 1/66 SSSG ก็เติบโตดีด้วย ส่วนหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวก็เลือกลงทุนได้เป็นรายตัว งบฯอาจไม่เด่นในไตรมาส 1/66 แนะนำหุ้น CPALL, SAPPE, SPA อีกกลุ่มที่น่าสนใจเป็นกลุ่ม ICT แนะนำหุ้น ADVANC คาดกำไรเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากการแข่งขันที่น้อยลง พร้อมมองดัชนีฯหากต่ำกว่าระดับ 1,600 จุด ถือว่าไม่แพง และพร้อมเด้งขึ้นได้ตลอดเวลา โดยให้แนวรับ 1,570 จุด แนวต้าน 1,620-1,625 จุด
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นช่วงหลังสงกรานต์คงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ออกด้านข้าง ซึ่งตลาดปรับขึ้นได้ก็คงจะมาจากแรงหนุนปัจจัยในประเทศ หากหุ้น DELTA ปรับตัวลงก็คงจะทำให้ตลาดปรับขึ้นได้ยากด้วย คงจะหันไปโฟกัสผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และการเลือกตั้ง ที่นโยบายของแต่ละพรรค กระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนการใช้จ่าย การบริโภค ทำให้เป็นแรงหนุนกลุ่ม Domestic plays เป็นหลัก โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก ได้รับอานิสงส์ในช่วงหาเสียงมาก ส่วนหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง เปิดประเทศ (Reopening) ราคาได้ปรับขึ้นไปมากแล้ว ดังนั้นอาจต้องรอให้ย่อตัวก่อนค่อยเข้าไปซื้อ
“หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเลือกตั้ง มีการเล่นเก็งกำไรกันมาพักหนึ่งแล้ว อย่างหุ้นที่นักลงทุนมองว่ามีเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย อย่างหุ้น SC, PR9, SIRI เป็นต้น และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย อย่างหุ้น STEC ก็คงจะมีการเล่นเก็งกำไรกันในช่วงสั้น แต่สุดท้ายแล้วก็คงจะต้องดูงบฯ แนะนำลงทุนหุ้นที่มีผลประกอบการออกมาดี และเศรษฐกิจฟื้นก็จะหนุนกลุ่มไฟแนนซ์, ธนาคาร, ค้าปลีก ซึ่งราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารก็ยังอยู่ในโซนต่ำด้วย พร้อมให้กรอบแกว่งไว้ที่ 1,570-1,625 จุด”นายวีระวัฒน์กล่าว
อนึ่ง “นิด้าโพล”เปิดเผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง”ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 1” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-8 มี.ค.66 ปรากฏว่า ประชาชนจะเลือก ”พรรคเพื่อไทย”มากที่สุด ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบแบ่งเขต
ส่วนนโยบายของพรรคเพื่อไทย พอที่จะสรุปได้ดังนี้ 1.ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท/วัน เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มต้น 25,000 บาท 2.ใช้เทคโนโลยีช่วยการเกษตร 3.รายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาท/ปี 4.ใช้ระบบ Blockchain ลดการคอรัปชั่น 5.ทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 6.ปราบปรามยาเสพติด 7.วางระบบป้องกันภัยไซเบอร์ 8.จัดทำกรรมสิทธิ์ที่ดินถูกต้องและเป็นธรรม 9.หนึ่งนักเรียน หนึ่งแท็บเล็ต หนึ่งครู หนึ่งแท็บเล็ต เพิ่มงบอาหารกลางวัน 10.ผลักดันซอฟท์พาวเวอร์ทุกมิติ 11.วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรี, บัตรประชาชนรักษาได้ทั่วไทย 12.รถไฟฟ้ากทม. 20 บาทตลอดสาย 13.คนไทย มีน้ำดื่ม น้ำใช้ตลอดปี 14.ให้เงิน 10,000 บาทต่อคน สำหรับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป