HoonSmart.com>> “บลจ.ยูโอบี” ตอกย้ำกลยุทธ์มุ่งสู่ “การเป็นพันธมิตรการลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย” ตั้งเป้า AUM ปี 66 เติบโต 10% มูลค่า 2.3-2.5 หมื่นล้านบาท เล็งออกกองทุน ETF ต่อเนื่อง พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มความสะดวกสบายให้นักลงทุนมากขึ้น รุกปั๊มยอดขายกองทุนผ่านบริษัทประกัน เล็ง “ช็อปปี้-แกร็บ” เพิ่มช่องทางขาย ด้านธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงพร้อมเสิร์ฟกองทุน ETF-FIF-ESG ให้สมาชิกเลือกลงทุนหลากหลาย
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจกองทุนในปี 2566 คงเติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่ถึงกับโดดเด่น เนื่องจากในหลายประเทศเศรษฐกิจถดถอย จึงตั้งเป้าขยายสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เติบโตใกล้เคียงกับตลาดในระดับ 10% หรือเติบโตประมาณ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2565 มี AUM รวม 226,578 ล้านบาท ตั้งเป้าการเติบโตจากทั้งสามธุรกิจ โดยเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีการเติบโตค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2565 เติบโตใกล้เคียงกับอุตสาหกรรม ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตได้ค่อนข้างดี โดยกองทุนส่วนบุคคลนั้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ต่อสัญญารอบที่ 2 เพื่อบริหารกองทุนผสม มูลค่าเงินลงทุน 5,400 ล้านบาท ซึ่งปี 2565 บริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลสหกรณ์ออมทรัพย์ฯ จำนวน 12 แห่ง ยอดเงินลงทุนรวมราว 3,700 ล้านบาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ได้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รอบสัญญาใหม่ มูลค่าเงินลงทุน 12,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการเติบโตของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจึงช่วยทดแทนกองทุนรวมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกไม่ดี โดยธุรกิจกองทุนรวมมีมูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 118,751 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 62,914 ล้านบาทและกองทุนส่วนบุคคล 44,914 ล้านบาท มี AUM อยู่อันดับ 10 จาก 24 บริษัทในธุรกิจจัดการกองทุน และได้รับรางวัล Best ESG Manager จาก Asia Asset Management 2023 เป็นครั้งแรก และรางวัล SET Awards 2022 Asset Management Company Outstanding Awards ESG รางวัลดังกล่าวสะท้อนความเป็นผู้นำในการผลักดันนโยบาย ESG ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม
“จุดแข็งของบลจ.ยูโอบี เมื่อเทียบบลจ.อื่น คือ การเป็นบลจ.ภูมิภาค ในกรุ๊ปมีสาขาในต่างประเทศ 9 แห่งในเอเชีย ซึ่งทีมงานในแต่ละประเทศให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ในไทยต้องการเป็นพาร์ทเนอร์โานการลงทุนใหแก่ลูกค้าทุกคน”นายวนา กล่าว
นายวนา กล่าวว่า สำหรับแผนงานในปี 2566 นี้บลจ.ยูโอบี มุ่งสู่การเป็นพันธมิตรการลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย (Most Trusted Investment Partner in Thailand) มุ่งสู่การเป็นพาร์ทเนอร์ด้านการลงทุนให้ลูกค้าทุกคน ทุกอย่างที่ทำจะเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง โดยสิ่งที่จะนำเสนอแตกต่าง 3 P เรื่องของสินค้า (Product) ผลดำเนินงาน (Performance) และการให้บริการอย่างเป็นมืออาชีพ (Professional Services)
ในส่วนของสินค้าจะพยายามมีให้ครบตามความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะ ESG และ ETF ที่มีแผนจะออกเพิ่มต่อเนื่อง เพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุน ส่วนด้านผลดำเนินงาน จะทำให้ผลงานยั่งยืนต่อเนื่อง และการแนะนำการลงทุน จัดสินทรัพย์ให้เหมาะสมและเอาระบบ AI/ML มาช่วยผู้จัดการกองทุนซื้อขายกองทุนและปรับพอร์ตให้เหมาะสมส่วนการให้บริการอย่างเป็นมืออาชีพ ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ทั้งจากภูมิภาคและพาร์ทเนอร์ระดับโลก นอกจากนี้จะมีระบบภายในคอยสนับสนุนการให้บริการกับทีม
ด้านนางสาวรัชดา ตั้งหะรัฐ กรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2566 นี้มุ่งสู่การเป็นพันธมิตรการลงทุนที่น่าเชื่อถือที่สุดในไทย กับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจผ่านตัวแทนจำหน่ายและพาร์ทเนอร์กับลูกค้าตรง อย่างกรณีที่เกิดกรณี Silicon Valley Bank (SVB) ในสหรัฐฯ ประสบปัญหาสภาพคล่อง ก็ได้มีการประชุมกับสิงคโปร์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และให้ข้อมูลแก่ตัวแทนจำหน่ายกองทุนอย่างรวดเร็ว ทั้งบลน., บล.และบริษัทประกัน
“สำหรับการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในปีนี้ มีแผนจะนำกองทุนไปบุกประกัน โดยรุกในกลุ่มประกันมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทที่มียูนิตลิ้งค์ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ผลตอบรับที่ดีและทำให้กองทุนของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นในกลุ่มประกัน โดยเฉพาะกองทุนมันนี่ มาร์เก็ต นอกจากนี้มีแผนรุกช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช อย่าง ช็อปปี้ (Shopee) และแกร็บ (Grab) ซึ่งเตรียมเข้าไปพูดคุยเพื่อดูว่ามีช่องทางใดที่สามารถขายกองทุนได้บ้าง”นางสาวรัชดา กล่าว
ในส่วนของตัวแทนขายอิสระที่เป็นบุคคลทั่วไปในปีที่ผ่านเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้จะพัฒนาระบบให้บริการ Ecosystem เพื่อให้ลูกค้าดูข้อมูลกองทุนได้ทั้งหมดในแพลตฟอร์มของบลจ.ยูโอบี รวมทั้งมีทีม Investment Solution ซึ่งรู้เหตุการณ์การลงทุนกลั่นกรองความเห็นต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็วเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในทุกสภาวะ ให้แก่ตัวแทนจำหน่ายนำไปแนะนำให้แก่ลูกค้าต่อไป
นางสาวรัชดา กล่าวว่า ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลในปีที่ผ่านมาได้เม็ดเงินลงทุนเข้ามามาก โดยเฉพาะกองทุนหุ้นไทยจากกลุ่ม COOP เปิดกอง 20 กว่ากอง ซึ่งบลจ.ยูโอบีสามารถบริหารจัดการได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายให้แก่บริษัทเอกชนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีการลงทุนในหุ้นไทย ทำให้ปีนี้ได้เพิ่มเเงินลงทุนเข้ามาสำหรับกลุ่ม COOP
ส่วนด้าน ESG ซึ่งเป็นนโยบายของกรุ๊ปที่ยังโฟกัสต่อเนื่องนำมาประกอบการพิจารณาการลงทุน ซึ่งปีที่ผ่านมาหุ้นต่างประเทศลดลงมาก แต่หุ้นที่มี ESG ปรับตัวลงน้อยกว่า
ด้านกองทุนสำรองเลี้ยชีพก็ทำได้ดีเช่นกัน โดยในปีนี้มีเม็ดเงินเข้ามาให้บริหารแล้วจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มูลค่า 12,000 ล้านบาท ทั้งตราสารหนี้และหุ้นต่างประเทศ และจะเน้นต่อทั้งรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการช่วย CSR ทำให้พนักงานได้เงินเพิ่มผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
นอกจากนี้จะเพิ่มทางเลือกนโยบายการลงทุนในกองทุนต่างๆ มากขึ้น ทั้ง กองทุน ESG, ETF โดยเฉพาะ FIF ช่วยเสริมพอร์ตให้แก่นักลงทุน เนื่องจากปีก่อนหุ้นต่างประเทศติดลบค่อนข้างมาก ในปีนี้อาจเป็นโอกาสในการลงทุนโดยเฉพาะในไตรมาสสองนี้ จึงจะคัดหุ้นที่มีคุณภาพเพิ่มในนโยบายทางเลือกและให้ข้อมูลแก่สมาชิกกองทุนเพื่อวางแผนการลงทุนในะระยะยาว จากปัจจุบันมีสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เป็นลูกค้า 60,000 ราย
สำหรับกลุ่มไฮเน็ตเวิร์คที่เป็นลูกค้าตรงนั้นจะเพิ่มคำแนะนำสำหรับการจัดพอร์ตให้มากขึ้นกว่าการเลือกเป็นรายกองและจะกระตุ้นให้ลูกค้าใช้ช่องทางผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มมากขึ้น
อ่านข่าว
บลจ.ยูโอบีแนะสะสมหุ้นไทย-เชียร์ตราสารหนี้ ชี้เป้า “กองทุน” จัดพอร์ตรับมือผันผวน