ตลท.แนะจังหวะช้อปหุ้นถูก 2 แบงก์สหรัฐล้ม กระทบไทยน้อย

HoonSmart.com>>”ภากร ปีตธวัชชัย” คาด 2 แบงก์สหรัฐล้ม กระทบไทยโดยตรงน้อย ข่าวที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจจะเกิดจากการกลัวเกินไป  และเฟดเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้สภาพคล่องโลกหายไปมาก  แนะนักลงทุนมองเป็นโอกาสในการเลือกหุ้นดี ราคาปรับตัวลงมามาก  ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้าน  ตลาดหุ้นเดือนก.พ. ดัชนีหุ้นไทย -2.9% ส่วนสกุลดอลลาร์ -9.4%  ต่างชาติมีสัดส่วนซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10

นาย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า กรณีที่ธนาคารสหรัฐ 2 แห่งล้มลง และทางการสหรัฐเข้าช่วยเหลือแล้ว เชื่อว่าจะผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงไม่มาก เงินที่มาจากกองทุนร่วมทุน (เวนเจอร์แคป) และคริปโตร มีค่อนข้างน้อย เทียบกับเศรษฐกิจไทย แต่อาจจะมีผลทางอ้อม จากการที่นักลงทุนหรือกองทุนขนาดใหญ่ขายหุ้น  รวมถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ทำให้สภาพคล่องหายไปมาก โดยมองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาก เป็นจังหวะที่ดีในการเลือกซื้อลงทุน ขอให้นักลงทุนติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี  มีบางธุรกิจที่มีโอกาสเติบโต เลือกซื้อก่อนที่กำไรไตรมาส 1/2566 จะออกมา เป็นการมองไปข้างหน้า

“ช่วงนี้เป็นอะไรที่สนใจ เมื่อมีความเสี่ยง ความไม่แน่นอนมากขึ้น เป็นโอกาสของการลงทุน หากมองระยะยาว  อย่ามองที่ปลายเหตุ ต้องดูที่ต้นเหตุ แบงก์สหรัฐล้มลง เพราะดอกเบี้ยสูงขึ้น หากเงินเฟ้อลดลง และการขึ้นดอกเบี้ยชะลอ สภาพคล่องที่หายไปจะกลับเข้ามาในตลาด ไทยมีปัจจัยบวกจากการลดลงของโควิด นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา ส่งผลดีต่อกำไรบจ.ที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว ส่วนกำไรบจ.ส่งออกยังไม่เปลี่ยนแปลง  แต่มีความเสี่ยงมากๆ  เรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะมีผลกระทบต่อสภาพคล่อง จึงอยู่กับไทยไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าธนาคารกลางจะมั่นใจเรื่องเงินเฟ้อ ที่มาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ การจ้างงาน ต้องมอนิเตอร์ให้ดี”นายภากรกล่าวว่า

ในช่วงนี้ การปรับพอร์ต ย้ายเงินลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงคือหุ้นไปหาที่ปลอดภัย เกิดขึ้น ทำให้การวิ่งไปมาของสภาพคล่องยังคงมีอยู่  เชื่อว่าในที่สุด เงินจะต้องหาแหล่งเงินทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง คือตลาดหุ้นของประเทศกำลังพัฒนา ก็คือไทย มีปัจจัยบวกมาก ดังนั้นจะต้องติดตามให้ดี หากมีการย้ายออกจากพันธบัตร แต่วันนี้การดูเรื่องฟันด์โฟลว์ ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่เชื่อว่าเงินไหลกลับมา แม้ว่าความเสี่ยงยังไม่คลี่คลาย เป็นการมองไปข้างหน้า

ส่วนเงินไหลออกในช่วงก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น นายภากรกล่าวว่า เรื่องการเมืองเป็นคำถามจากนักลงทุนต่างประเทศตลอด  แต่อยากให้ดูความสามารถในการทำธุรกิจว่าขึ้นอยู่กับการเมืองมากแค่ไหน ซึ่งไม่มาก เพราะไทยมีรายได้จากต่างประเทศเฉลี่ย 40-50% ส่วนที่เหลือได้รับผลกระทบจากนโยบายและภาคเศรษฐกิจของประเทศ คือการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ ดังนั้น หากรัฐบาลเปลี่ยน นโยบายหลักไม่เปลี่ยนแปลง จึงมีผลกระทบต่อไทยไม่มาก กระทบต่อการทำธุรกิจของบจ.น้อยมาก

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า  กรณีปิด 2 ธนาคารสหรัฐ ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือการฝากเงิน เท่าที่อ่านข่าว ปล่อยกู้น้อยมาก ส่วนใหญ่เอาไปลงทุน มีการระดมทุนไปลงทุนบางธุรกิจเท่านั้น  จึงไม่มีเรื่องที่จะลาม และทางการสหรัฐเข้าไป Action เร็ว ทำให้คนที่ฝากได้รับผลกระทบน้อยดังนั้นกระทบต่อบจ.ไม่มาก

ปัจจุบันมี 4 เหตุการณ์สำคัญที่จะต้องติดตาม เช่น การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด เศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งแนวโน้มนโยบายดอกเบี้ยเป็นคนละสตอรี่เป็นจุดเปลี่ยน  เซอร์ไพรส์ในเดือนก.พ. ค่ากลางยังมองว่ายังคงนโยบายการเงินตึงตัวต่อไปและคงระดับสูงกว่าที่คาด 23%  จากเมื่อเดือนม.ค. คาดว่าจะปรับขึ้นอีกไม่มาก และปลายปีมีโอกาสลดลง ส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาค ทำให้ต่างชาติขายหุ้นไทย 43,562 ล้านบาท หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 เดือน รวมถึงเดือน และปี  2565 มีเงินไหลเข้ามากถึง 1.9 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10

“เดือนก.พ.มีเซอร์ไพรส์เรื่องดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ต่างชาติขายหุ้น และดัชนีหุ้นปรับตัวลง -2.9% จากเดือนก่อนหน้า ท่ามกลางดอลลาร์สหรัฐอ่อน ทำให้ผลตอบแทน-9.4% แม้การบริโภคภายในประเทศยังฟื้นตัวตามภาคบริการและท่องเที่ยว ส่วนแรงขายของ LTF อ่อนตัวกว่าปีก่อน ๆ และจ่ายเงินปันผล”นายศรพลกล่าว

ในเดือนก.พ.2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ

ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 67,066 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 32.3% รวมสองเดือนแรกซื้อขายเฉลี่ย 69,600 ล้านบาท

สำหรับการระดมทุนของไทย ยังเป็นแหล่งระดมทุนในตลาดสนใจ  ในเดือนก.พ. มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 5 หลักทรัพย์ และใน mai 2 หลักทรัพย์ โดยมูลค่าระดมทุนรวมในหุ้น IPO ของไทยปี 2566 อยู่ยังในระดับต้นๆ ของเอเชีย Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนก.พ.อยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.2 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.4 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนก.พ.อยู่ที่ระดับ 2.82% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.09%

ด้านตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)เดือนก.พ. มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 543,831 สัญญา เพิ่มขึ้น 2.5% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และในช่วง 2 เดือนของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 536,966 สัญญา ลดลง 5.1% จากปีก่อน