HoonSmart.com>>”แอสเสท เวิรด์ คอร์ป”(AWC) กำไรสุทธิ(ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่)ปี 65 มีจำนวน 3,853.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่มีกำไร 861.48 ล้านบาท โดยรายได้รวมปี 65 มี 9,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.8% โดยมีการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการสอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมจ่ายปันผล 0.032 บาท/หุ้น ขึ้น XD 9 พ.ค. กำหนดจ่าย 24 พ.ค.66
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) แจ้งว่า กำไรสุทธิ(ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่)ปี 2565 มีจำนวน 3,853.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงปี 2564 ที่มีกำไร 861.48 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2565 ที่ 0.1204 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มี 0.0269 บาท
ผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 1,045 ล้านบาท บริษัทมีรายได้รวมปี 2565 จากผลประกอบการโดยไม่รวมมูลค่ายุติธรรม จำนวน 9,602 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 109.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลประกอบการของบริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการสอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
การเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและการบริการที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่มีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 อีกทั้งบริษัทมีเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก ซึ่งสามารถดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพจากทั่วโลกให้เข้ามาพักในกลุ่มบริษัทได้อย่างรวดเร็ว ดังแสดงได้จากอัตราการเข้าพักโรงแรมสำหรับ ปี 2565 อยู่ที่ร้อยละ 49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19.6 ในปี 2564 โดยอัตราการเข้าพักโรงแรมเติบโตในทุก ๆ กลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรีสอร์ทระดับลักซ์ซูรี และโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า มีการเติบโตเช่นเดียวกันดังจะเห็นได้จากกิจกรรมการจับจ่ายใช้สอยและการใช้บริการในศูนย์การค้าเพิ่มมากขึ้น และส่วนลดค่าเช่าที่บริษัทให้กับผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มีสัดส่วนลดลงอย่างต่อเนื่อง และในส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดรับให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
นอกจากนี้ บริษัทได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนสำหรับปี 2565 จำนวน 4,920 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นศักยภาพของทรัพย์สินที่มีคุณภาพในพอร์ตของบริษัทที่มีการเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,438 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากธุรกิจโรงแรมและการบริการ ซึ่งเป็นการเติบโตในทุกกลุ่มของโรงแรม ภาพรวมของอัตราการเข้าพักในโรงแรมของไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ร้อยละ 63.5
พร้อมจ่ายปันผลจากกำไรสะสม ให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.032 บาทต่อหุ้น โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 10 พ.ค. 2566
วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 9 พ.ค. 2566 วันที่จ่ายปันผล 24 พ.ค. 2566
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 4/65 ยอดเยี่ยมที่สุดของปี โดยมีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 1,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) รวมกำไรสุทธิตามงบการเงินปี 2565 อยู่ที่ 3,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่าร้อยละ 280 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มโรงแรมที่สามารถสร้างอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate หรือ ADR) สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AWC สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในครึ่งหลังของปี 2565 แสดงให้เห็นศักยภาพขององค์กรในการสร้างกระแสเงินสดจากทรัพย์สินดำเนินงานคุณภาพที่เพิ่มขึ้นประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และพร้อมหนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
“ผลประกอบการในไตรมาส 4/2565 ที่ผ่านมานี้ นับเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบปี 2565ของบริษัท ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวของประเทศที่กลับมาฟื้นตัวอย่างเด่นชัดในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวส่งท้ายปี (High Season) และการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของ บริษัทกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนศักยภาพของ AWC ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและการบริการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่การแพร่ระบาด COVID-19 ในต้นปี 2563 ขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน จากแผนพัฒนาและปรับกลยุทธ์ของโครงการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาคาร “เอ็มไพร์” ภายใต้แนวคิด Co-Living Collective: Empower Future หรือ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เพื่อสร้างแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำใหญ่ที่สุด ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” และกิจกรรมความบันเทิงร่วมกับเดอะ วอลต์ ดิสนีย์ ใน “DISNEY100 VILLAGEAT ASIATIQUE” รวมถึงการที่บริษัทได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จำนวนกว่า 4,920 ล้านบาท แสดงให้เห็นการเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่องของพอร์ตทรัพย์สินคุณภาพซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน” นางวัลลภา กล่าว
ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เติบโตอย่างก้าวกระโดดสอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวด้วยตัวเอง (Foreign Independent Tourหรือ FIT) จำนวนกว่า 11.8 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง(High-to-Luxury) ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจนี้ กลับมาเติบโตขึ้นในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมประชุมสัมมนา (MICE) กลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ กลุ่มรีสอร์ทระดับลักซ์ซูรี รวมถึงเซ็กเมนต์อาหารและเครื่องดื่มจากงานอีเว้นท์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น อาทิ การฉลองในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นต้น โดยในไตรมาส 4 นี้ ภาพรวมอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของโรงแรมในเครือ AWC อยู่ที่ร้อยละ 63.5 และมีราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (ADR) อยู่ที่ 5,697 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 45.7 เมื่อเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงที่สุดตลอดการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท
นอกจากนี้ ในไตรมาส 4/2565 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการมีรายได้จากการดำเนินงาน 2,499 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) กว่า 848 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อยู่ที่ร้อยละ 11,535 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมี Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อกแมริออทเดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 223.6 โรงแรม บันยันทรี กระบี่ มีค่า RGI เท่ากับ 184.4 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 176.8 เป็นต้น
AWC ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าเสริมพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการบริการ ด้วยการเข้าลงทุนในโรงแรม เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต และโรงแรมดุสิต ดีทู เชียงใหม่ เพื่อใช้ศักยภาพและความได้เปรียบในการพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันและเสริมพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทในฐานะทรัพย์สินดำเนินงานที่สามารถรับรู้รายได้ในทันที รวมถึงโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินอยู่ในระหว่างการพัฒนาส่งผลให้ในสิ้นปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ดำเนินการทั้งหมด 20 โรงแรม รวม 5,458 ห้อง ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มี 16 โรงแรม และจำนวนห้องรวม 3,432 ห้อง
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) โดยกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มปี 2565 และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ7.6 ซึ่งเป็นผลมาจาก ศักยภาพของอาคารสำนักงานเกรด A ที่คำนึงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อบริหารจัดการพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ AWC ได้ยกระดับมาตรฐานใหม่เป็นครั้งแรกของวงการอาคารสำนักงาน ด้วยการมอบพื้นที่ 1,500 ตร.ม. ให้เป็น Co-Living เปิดประสบการณ์พิเศษ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้ผู้เช่าได้เสริมรูปแบบการกลับมาทำงานแบบ New Normal อีกทั้งช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายขององค์กรและพนักงานจากทั่วโลก และเป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งในใจของคนทำงานรุ่นใหม่อีกด้วย
ภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า มีผลการดำเนินการที่เติบโตต่อเนื่องครอบคลุมเกือบทุกเซ็กเมนต์เช่นกัน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาครึกครื้น การจับจ่ายใช้สอยและการรับประทานอาหารนอกบ้านเพื่อพบปะสังสรรค์ในช่วงเทศกาลปลายปี โดยเฉพาะในกลุ่มคอมมูนิตี้ช็อปปิ้งมอลล์ ส่งผลให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 18 นอกจากนี้ ศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยวอย่างโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์เดสติเนชั่น ก็มีการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนลูกค้าชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาใช้บริการเพิ่มขึ้น และการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดผู้เช่า ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกกลุ่ม ผ่านกิจกรรมพิเศษต่างๆ ตลอดทั้งปี
“AWC มุ่งมั่นที่จะยกระดับและเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ตอบรับนโยบาย “ปีท่องเที่ยวไทย 2566” ผ่านการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศและคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ทางบริษัทจึงดำเนินกลยุทธ์เร่งดำเนินการเปลี่ยนสินทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเป็นสินทรัพย์ดำเนินงาน และสร้างการเติบโตของผลตอบแทนของทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัท ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่กระทบกับคุณภาพการบริการ อาทิ การเพิ่มขึ้นของยอดการสำรองห้องพักโดยตรงกับทางโรงแรม (Direct Booking) การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell)เพื่อเพิ่มพลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบริหารจัดการด้านต้นทุนค่าใช้จ่ายของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (HR Multiple) เพื่อสร้างมูลค่าและผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้นที่จะส่งผ่านเป็นอิบิทดา (Flow Through) ในสัดส่วนมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยในปี 2566 นี้ AWC ยังคงพัฒนาโครงการต่างๆ ในทุกกลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อจะเปิดให้บริการในปีอาทิ โรงแรม อินน์ไซด์ กรุงเทพ สุขุมวิท โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง และโรงแรมแมริออท เชียงใหม่ รวมถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ของกลุ่มอาคารสำนักงาน การพัฒนาโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวเสริม
AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อ “สร้างคุณค่าด้านความยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ผ่านกรอบการดำเนินงาน 3 เสาหลัก (3BETTERs): Better Planet, Better People, Better Prosperity โดยล่าสุด AWC ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” และรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ โดยความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้พันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า”