HoonSmart.com>> “บล.คิงส์ฟอร์ด” ประเมินแนวโน้มดัชนีทรงตัว รอรายงานเงินเฟ้อสหรัฐฯ ค่ำวันนี้ ด้านบจ.ไทยรายงานงบ Q4/65 กำไรต่ำกว่าคาด 30% แนะนำทยอยซื้อกลุ่มท่องเที่ยว MINT, CENTEL ,ERW, AWC ค้าปลีก BJC นิคม WHA, AMATA พร้อมแนะหุ้นเด่น CENTEL , HTC
บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด คาดดัชนี SET ทรงตัวในกรอบแนวรับ 1,645 – 1,650 จุด แนวต้าน 1,660 – 1,665 จุด รอรายงานดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐ และ 278 บริษัทรายงานงบ Q4/65 แล้ว มีกำไรต่ำกว่าคาด -30% แนะนำทยอยซื้อกลุ่มท่องเที่ยว MINT, CENTEL ,ERW, AWC ค้าปลีก BJC นิคม WHA, AMATA
ตลาดหุ้นสหรัฐวานนี้ฟื้นตัวจากกลุ่มพลังงาน, กลุ่มผู้ผลิตชิป Nvidia รับคาดการณ์อุปสงค์ชิปปีนี้ดีขึ้น หลังการเปิดให้บริการ AI ในระบบแชตตอตเพิ่มมากขึ้น ขณะที่รายงาน GDP สหรัฐ Q4/65 ครั้งที่ 2 ที่ +2.7% & ครั้ง 1 ที่ +2.9% QoQ ยังถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในระดับสูง
ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 3,000 ราย อยู่ที่ 192,000 รายและคาดเพิ่มขึ้น 200,000 ราย สะท้อนตลาดแรงงานสหรัฐยังแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นแรงกดดันให้เฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อ โดย CME Fed Watch ชี้มีโอกาส 55.9% เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไปที่ระดับ 5.25 – 5.50% ในการประชุม 14 มิ.ย. นี้ และคาดยังไม่มีสัญญาณลดดอกเบี้ยในปีนี้
ค่ำวันนี้ติดตาม US PCE ม.ค. คาด +5.0% YoY เท่ากับ ธ.ค. และคาด ม.ค. +0.50% & ธ.ค. +0.10% MoM
หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CENTEL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 56.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 4Q65 ฟื้นตัวต่อเนื่อง หนุนจากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยที่มีอุปสงค์แข็งแกร่งทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เนื่องจากเริ่มเปิดประเทศ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและคนที่กลับเข้ามาทำธุรกิจเพิ่มขึ้น ขณะที่โรงแรมในต่างประเทศอย่างมัลดีฟส์และดูไบจะเข้าสู่ช่วง High Season ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) ผ่าน Break-Even กลับมาเป็นกำไร
ส่วนธุรกิจอาหารเติบโตต่อเนื่องตามตัวเลข SSSG เพราะหมดหน้าฝนและกำลังเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย-เฉลิมฉลองในช่วงท้ายปี ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายใน Write-off จากการปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร (เป็นปกติในไตรมาส 4)
หุ้น HTC (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 37.00 บาท) ประเมินภาพการดำเนินงานในปี 66 จะสามารถฟื้นตัวได้ดีโดยในฝั่งของรายได้มีแรงหนุนจาก Covid-19 คลี่คลาย การกลับมาของนักท่องเที่ยว การปรับราคาสินค้าขึ้น และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ (ต.ค65)
นอกจากนี้ทางบริษัทเองยังจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50%(จาก 58 MPC/ปี เป็น 91 MPC/ปี) ด้านฝั่งมาร์จิ้น คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนที่ผ่อนคลายขึ้น ทั้งต้นทุนเชื้อเพลิง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 จะอ่อนตัวจากปี 64 ที่ 2.66 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 2.27 บาท/หุ้น, แต่ EPS จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีในปี66 ที่ 2.70 บาท/หุ้น ตามลำดับ