HoonSmart.com>>”ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป”ตั้งการ์ดสูง 12-18 เดือนข้างหน้า รับมือพฤติกรรมลูกค้าจะเปลี่ยนไปตามเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรปถดถอย ดอกเบี้ยสูง “ไอ-เทลฯ”พร้อมเข้าเทรด 9 ธ.ค. นำเงินชำระหนี้ ช่วยกลุ่มลด D/Eเหลือ 0.60 เท่า ประหยัดดอกเบี้ยจ่าย 40% ธุรกิจสดใสระยะยาว มาร์เก็ตแคป 96,000 ล้านบาท มีโอกาสเพิ่มถึง 1 แสนล้านบาท สูงกว่าแม่ ราคาหุ้น TU ลงมาเทรด P/E 10 เท่า ตกใจตัวเลขขาดทุนของ Red Lobster ปี 66 จะดีขึ้น 50% คาดอีก 3 ปี พลิกเป็นบวก พร้อมเข้าตลาดหุ้นต่างประเทศ สร้างฐานธุรกิจมั่นคง
นาย ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้าจะต้องระมัดระวัง เน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัว เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ติดตามข้อมูลแบบวันต่อวัน ต้องวิเคราะห์ให้ครบถ้วนรอบด้าน เพราะไม่รู้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนอย่างไร หากเศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรปถดถอย เงินเฟ้อ-อัตราดอกเบี้ยสูง รวมถึงสงครามยูเครน- รัสเซียยังไม่จบลงง่าย คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง โดยยังคงมั่นใจว่ากำไรจะดีขึ้นในปี 2566 รายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 5% และตั้งงบลงทุน 6,000 ล้านบาท เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และไม่รวมการซื้อกิจการ
” เราอยู่ในโลกที่ไม่รู้ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คิดว่าเราจะรับมือได้อย่างไร แต่ค่อนข้างสบายใจ ธุรกิจของเรามีภูมิคุ้มกันทุกภาวะวิกฤติ ผ่านมาแล้วไม่ว่าวิกฤตอาหาร โควิด น้ำท่วมและเศรษฐกิจ เพราะอาหารเป็นสิ่งจำเป็น ไม่แพง และการแช่แข็ง กระป๋องสามารถเก็บได้ แต่เงินที่มีอยู่จำกัด ดอกเบี้ยสูงขึ้น เพิ่มภาระในการผ่อนบ้าน ก็จะส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยอื่นๆ ”
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ผ่านจุดที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น ในปี 2565 เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาก และผันผวนทำให้ค่าเงินบาทขึ้นไปถึง 38 บาท ก่อนที่จะลงมาต่ำเหลือ 34 บาท/ดอลลาร์ ค่าขนส่ง ราคาน้ำมันขึ้นไปสูงมาก ปัจจุบันได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ราคาทูน่าทรงตัว ส่วนราคาเหล็ก ซอสมะเขือเทศไม่ลดลง บริษัทมีการลงทุนใหญ่แล้ว กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นในปี 2566 ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทอยู่ได้ในภาวะค่าเงินบาทแข็งระดับ 29-30 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงแบบเข้มงวด 100% เพื่อไม่ให้มีผลขาดทุน แต่จะมีกำไรปีละ 200 ล้านบาท หรือมากกว่า 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
ส่วนการนำบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ( ITC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ใช้เวลาดำเนินการที่เร็วมาก เพียง 1 ปี นับตั้งแต่แต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ITC พร้อมจะเข้าซื้อขายในวันที่ 9 ธ.ค.2565 มีมาร์เก็ตแคปจำนวน 96,000 ล้านบาท ที่ราคาขายหุ้นละ 32 บาท มีโอกาสขึ้นไปถึง 1 แสนล้านบาท มากกว่า TU ที่มีมาร์เก็ตแคป 80,643 ล้านบาท เพราะธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแมว-สุนัข มีการเติบโตที่ดีในระยะยาว และเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงกว่าธุรกิจหลัก
สำหรับเงินที่ระดมได้ นอกจากนำเงินไปลงทุนด้านระบบ และเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ยังมีแผนนำเงินไปชำระหนี้สถาบันการเงินจำนวน 7,000-8,000 ล้านบาท ทำให้บริษัท ITC ปลอดหนี้ และยังช่วยลดสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน(D/E) ของกลุ่มลงจาก 1.13 เท่า เหลือ 0.06 เท่า ช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายลงประมาณ 40% เพิ่มโอกาสที่อันดับเครดิตของบริษัท TU จะดีขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ A+ ปีหน้าจะมีหนี้หุ้นกู้ครบอายุจำนวน 2,000 ล้านบาท
นาย ธีรพงศ์กล่าวว่า ราคาหุ้น TU ที่ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 16.90 บาท ซื้อขายระดับ P/E เพียง 10.05 เท่าเท่านั้น ทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 4-5%ต่อปี ซึ่งนโยบายกำหนดไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ บริษัทจ่าย 52-54% มีโอกาสเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกิน 60% ตามเงื่อนไขของการออกหุ้นกู้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวลง เนื่องจากตลาดห่วงผลขาดทุนธุรกิจ Red Lobster ในสหรัฐ ที่บริษัทเพิ่งเข้าไปบริหารจริงจังเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ร้านมีการปิดให้บริการในช่วงโควิดระบาด คาดรับรู้ผลขาดทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท แนวโน้มจะดีขึ้นคาดว่าในปี 2566 จะลดการขาดทุนเหลือประมาณ 500-600 ล้านบาท หลังจากเข้าไปปรับปรุงคุณภาพหลายส่วน มั่นใจว่าจะมีโอกาสพลิกเป็นกำไรได้ในปีที่ 3 เมื่อนั้นพร้อมจะพิจารณานำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
” บริษัทฯจำเป็นต้องลงทุนใน Red Lobster เพราะมองเห็นโอกาสจากธุรกิจที่มีร้านจำนวนมากถึง 750 แห่ง สร้างรายได้ 2,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 1 แสนล้านบาท สร้างกำไรได้ปีละหลายพันล้านบาทอาจจะถึง 1 หมื่นล้านบาท เพื่อสร้างขาธุรกิจที่แข็งแรงกลุ่มที่ 4 และส่งเข้าตลาดหุ้นต่างประเทศ”นายธีรพงศ์กล่าว