HoonSmart.com>> “อาปิโก ไฮเทค” ฟอร์มดีงบ Q3/65 ทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไร รายได้ 7,550 ล้านบาท กำไรสุทธิหลัก 426 ล้านบาท โต 236.2% รับปัจจัยบวกธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์-โชว์รูมรถยนต์โตดี ยอดขายพุ่ง คาดไตรมาส 4 โตต่อ อานิสงส์อุตสาหกรรมยานยนต์เด่น หนุนออเดอร์โต เปิดโชว์รูมรถที่มาเลเซียเพิ่มยอด มั่นใจรายได้ปี 65 โต 30% ตามแผน
นายเย็บ ซู ชวน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาปิโก ไฮเทค (AH) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/65 ทำสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยบริษัทมีรายได้รวม 7,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,118 ล้านบาท เติบโต 70.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 4,432 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลัก 426 ล้านบาท เติบโต 236.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิหลัก 127 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 65 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 20,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 15,149 ล้านบาท จำนวน 5,558 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.7% และมีกำไรสุทธิหลัก 1,113 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิหลัก 643 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 73.1% และบริษัทสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไว้ได้ตามเป้าหมายที่ 10-12% โดยในไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 11%
ทั้งนี้ผลประกอบการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด มีปัจจัยบวกมาจากยอดสั่งผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ใหม่ (OEM) เพิ่มมากขึ้น ตามสถานการณ์ขาดแคลนชิปที่คลี่คลายลง และค่ายรถยนต์และรถอเนกประสงค์ เริ่มทยอยเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV Car) ควบคู่กับการเปิดตัวรถยนต์เครื่องสันดาบ ประกอบกับธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์มีแนวโน้มที่ดี ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ และภาวะเศรษฐกิจขยายตัว อีกทั้งบริษัทมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 175 ล้านบาท เข้ามาสนับสนุน
สำหรับภาพรวมธุรกิจไตรมาส 4/65 คาดว่าเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/65 จากการส่งมอบออเดอร์ให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งยังมีออร์เดอร์จากลูกค้าใหม่ ๆ รวมถึงบริษัทชั้นนำของรถพลังงานไฟฟ้า (EV Car) ที่บริษัทจะแถลงข่าวเร็ว ๆ นี้ ทำให้บริษัทสามารถรักษาการเติบโตได้มากกว่าอุตสาหกรรม โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานตัวเลขยอดผลิตรถยนต์งวด 9 เดือนแรกปี 65 ที่อยู่ที่ 1,364,037 คัน เพิ่มขึ้น 12.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1,211,946 คัน โดยยอดผลิตรถยนต์ทั้งปี 65 อาจกลับไปได้ตามเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1.8 ล้านคัน จากก่อนหน้านี้ได้มีการปรับลดเป้าหมายลงไปเหลือ 1.75 ล้านคัน
ด้านธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ในประเทศไทย ยังขยายตัวได้ดี หลังจากในไตรมาส 4/64 เปิดตัวโชว์รูมรถยนต์ Mazda และ MG และเพิ่มเติมด้วยการเปิดโชว์รูมรถยนต์ Mitsubishi และ Ford ในประเทศไทย เมื่อช่วงไตรมาส 2-3/65 รวมถึงการเปิดตัวโชว์รูมรถยนต์ PROTON ในไตรมาส 4/65 ที่มาเลเซีย หลังพบว่ามีความต้องการรถยนต์สูงขึ้น ถือเป็นการเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ในอนาคต
ดังนั้น บริษัทเชื่อมั่นว่ารายได้รวมในปี 65 จะเติบโตอยู่ที่ 30% ตามแผนที่วางไว้ เมื่อเทียบกับปี 64 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,967 ล้านบาท และปีนี้ถือเป็นปีที่เติบโตดีที่สุด ภายใต้กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานท่ามกลางวิกฤตต่างๆ ด้วยวิธีการปรับตัวและแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมองหาโอกาสเพื่อต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป