HoonSmart.com>>ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb analytics ) ประเมินทิศทางค่าเงินบาทสิ้นปี 2566 จะกลับมาอยู่ที่ระดับ 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว แนะธุรกิจเตรียมรับมือกับความผันผวนระยะสั้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2565 เงินบาทอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 16 ปี โดยอยู่ที่ 38.31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงกว่า 14% โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นมาก จากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมแล้วถึง 3% และจะปรับขึ้นอีก 0.50% ในเดือนธ.ค.นี้ ส่วนไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ 36.85 บาท จากการที่ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว หนุนดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มปรับดีขึ้นในปีหน้า ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 เงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2565 ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 17,688 ล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนก.ย.) ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายจะยังไม่พบสัญญาณที่ผิดปกติ โดยนับตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 2 พ.ย.นักลงทุนต่างชาติยังมีฐานะเป็นการซื้อสุทธิในสินทรัพย์ไทยประมาณ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อหุ้นกว่า 1.6 แสนล้านบาทและขายพันธบัตรที่ 0.5 แสนล้านบาท
เงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลต่อผู้ส่งออกและนำเข้า ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่ค่าเงินมีการอ่อนค่าลงมากกว่าไทยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น เงินเยน เงินยูโร เงินปอนด์ เงินวอน เป็นต้น สะท้อนจากดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ที่ปรับอ่อนค่าลงเพียง 2% เท่านั้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า คู่แข่งสำคัญทั้งหมดของไทย นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Trade in Value Added ของ OECD ปี 2018 พบว่า สินค้าส่งออกจากไทยมีสัดส่วนสินค้านำเข้า (Import Content) สูงถึง 34.6% จึงทำให้การส่งออกของไทยไม่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่ามากเท่าที่ควร เนื่องจากต้องหักผลกระทบและต้นทุนที่สูงขึ้นของการนำเข้าออก
ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อน คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวในเมืองไทยที่จะมีกำลังซื้อมากขึ้น หนุนให้ภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวรวดเร็ว และเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดยคาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 18.5 ล้านคนในปี 2566 จาก 9.5 ล้านคนในปี 2565 นี้
ในทางกลับกัน ผู้นำเข้าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เนื่องจากต้องนำเข้าสินค้าในราคาที่สูงขึ้น จากผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า การนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ถึง 75% ถูกตั้งราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น อาจส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการในประเทศเพิ่มเติมได้ เงินบาทที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องจึงอาจส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศได้จากการส่งผ่านต้นทุนนำเข้าสินค้า ทำให้ราคาสินค้าและบริการในประเทศปรับสูงขึ้นได้หากเงินบาทยังอยู่ในทิศทางที่อ่อนค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ผู้ที่มีหนี้ต่างประเทศ ยังเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ต้องชำระหนี้สูงขึ้นเมื่อคำนวณเป็นเงินบาท โดยเฉพาะกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศระยะสั้น เนื่องจากครบกำหนดชำระก่อน อย่างไรก็ดี จากข้อมูลหนี้ต่างประเทศของ ธปท. พบว่า หนี้ต่างประเทศส่วนใหญ่ถึง 60% ของไทยอยู่ในระยะยาว จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าน้อยกว่าประเทศที่มีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูง
ท้ายที่สุดคือ กลุ่มนักลงทุนไทยที่อาจได้รับผลกระทบจากผลตอบแทนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงจากแรงเทขายสินทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่า ในทางกลับกันหากนักลงทุนมีการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศหรือกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศก็อาจได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่สูงขึ้นเช่นกัน
“ttb analytics มองว่าค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ 36.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่จะทำให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดปรับดีขึ้น ขณะที่การปรับดอกเบี้ยของเฟดมีแนวโน้มสูงสุดที่ 4.75% ในช่วงกลางปี 2566 และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 2% อย่างไรก็ดี ในช่วงที่มีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้ที่ความเกี่ยวข้องกับค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือผู้ที่มีหนี้ในสกุลเงินต่างประเทศควรติดตามข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ยังควรศึกษาและใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม เพื่อลดความผันผวนและความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก”