HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด คาดดัชนี SET Sideway Up ทดสอบแนวต้าน 1,620 จุด มีแนวรับ 1,595 – 1,600 จุดแรงหนุนจากคาดธนาคารกลางหลักเริ่มชะลอขึ้นดอกเบี้ย ด้านเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว แนะนำทยอยซื้อกลุ่มค้าปลีก HMPRO,CPN,CRC ได้ประโยชน์เปิดเมือง เก็งกำไร AU, U หุ้นเด่น CPN, BEM
บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET มีโอกาส Sideway Up ทดสอบแนวต้าน 1,620 จุด มีแนวรับ 1,595 – 1,600 จุด ได้แรงหนุนจากคาด ธนาคารกลางหลักจะเริ่มชะลอขึ้นดอกเบี้ย กอปรเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว แนะนำทยอยซื้อกลุ่มค้าปลีก HMPRO,CPN,CRC ได้ประโยชน์เปิดเมือง / เก็งกำไร AU, U
สัปดาห์ที่ผ่านมา DJIA +5.72%, S&P +3.95%, Nasdaq +2.24% WoW เนื่องจากตลาดคาดเฟดอาจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม ธ.ค. หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัว เช่น PMI ภาคผลิต & บริการ, ดัชนีราคาบ้าน, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงกำไร Q3/65 ของบริษัทเทคโนโลยีต่ำกว่าคาด ซึ่งเป็นผลเศรษฐสหรัฐเริ่มชะลอตัวจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ GDP สหรัฐ Q3/65 ขยายตัว +2.6% QoQ ช่วยลดความกังวลๆดดอ
หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 76.50 บาท) แนวโน้มกำไร 3Q65 เติบโต QoQ, YoY ปัจจัยบวกจากการคลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ ธุรกิจศูนย์การค้าปริมาณ Traffic กลับเข้าสู่ระดับปกติที่ 80-85% ส่งผลให้ส่วนลดค่าเช่าลดลงต่อเนื่อง QoQ โดย Occupancy rate ทรงตัวสูงที่ราว 90% ส่วนการเติบโต YoY มาจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ 2 แห่ง ในปีก่อน และเปิดใหม่ 1 แห่งในปีนี้
สำหรับกำไรปกติปี 65-66 ตลาดคาดอยู่ที่ราว 9.3 พันล้านบาท (+ 30%YoY) และ 1.12 หมื่นล้านบาท (+20%YoY) โดยมีแผนเปิด Central Westville ราชพฤกษ์ใน 4Q66 ส่วนโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะทยอยเปิดในปี 67
หุ้น BEM (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 11.00 บาท) คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องตาม Traffic การเดินทางที่สูงขึ้นหลังสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย โดยช่วงเดือน ก.ย. 65 ที่ผ่านมา ปริมาณจราจรของBEM* และจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า MRT ฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 1,090.74 พันเที่ยวต่อวัน(+42.77%YoY, +1.10%MoM) และ 344.00 พันเที่ยวต่อวัน (+244.00%YoY, +7.50%MoM) ใกล้เคียงระดับ Precovid-19 ที่ 1,250-1,290 พันเที่ยวต่อวัน และ 300-350 พันเที่ยวต่อวัน
นอกจากนี้ BEM ยังมีประเด็นบวกจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ของ BEM* จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากฐานต่ำในปี 64 ที่ 0.07 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.15 บาท/หุ้น, และ 0.24 บาท/หุ้น ตามลำดับ