โบรกฯมอง SCGP อ่อนตัว Q3 ยังแนะซื้อ ลดเป้าจาก 65 บ.เหลือ 61-62 บ.

Hoonsmart.com>> “เอสซีจี แพคเกจจิ้ง”นัด 25 ต.ค.แถลงผลงานไตรมาส 3/65 โบรกเกอร์มองว่าอาจจะออกมาไม่ดีนัก คาดกำไรสุทธิ 1,700-1,750 ล้านบาท แต่จะฟื้นกลับมาได้ในไตรมาส 4 เป็น 1,900-2,000 ล้านบาท ยังคงให้คำแนะนำ “ซื้อ” จากราคาปิดล่าสุด 52.75 บาท บล.เมย์แบงก์ ลดราคาเป้าหมายลงจาก 65 บาทเหลือ 62 บาท เช่นเดียวกับบล.พายที่ลดราคาจาก 65 บาทลงมาเหลือ 61 บาท ขณะที่บล.ฟิลลิป ให้เป้าหมายสูงสุดที่ 70 บาท

ในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 ราคาหุ้น SCPG  ผันผวน เคยขึ้นไปสูงสุดเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ 59 บาท หลังจากนั้นลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ เมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมาที่ 49.75 บาท (จุดสูงสุดที่ 70.00 บาท)

บล.เมย์แบงก์(ประเทศไทย) วิเคราะห์เมื่อวันที่ 17 ต.ค. มองว่า SCGP จะมีกําไรสุทธิไตรมาส 3/65 ชะลอตัวลง ถูกกระทบจากต้นทุน คาดว่ากําไรปกติจะอ่อนแอลงเหลือ 1,500 ล้านบำท (-21% QoQ, -2% YoY) อาจจะมีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยประมาณ 250 ล้านบาท รวมเป็นกําไรสุทธิ 1,750 ล้านบาท (-6% QoQ, -2% YoY) คาดว่าอัตรากําไรขั้นต้นจะลดลงเหลือ 17% จาก 17.6% ในไตรมาสก่อน และ 17.3% ในปีก่อน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล และถ่านหินในสต็อกเก่าที่มีราคาสูง รวมถึงความต้องการที่ชะลอตัวลง ทั้งสายบรรจุภัณฑ์ครบวงจร และเยื่อกระดาษ ถูกแรงกดดันมาจากนโยบาย Zero-Covid และ ปัญหาภัยแล้งของจีน คาดว่ายอดขายชะลอตัวจากไตรมาสก่อน 6% เหลือ 35,833 ล้านบาท แต่ยังเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 12%YoY จากผลของการควบรวมกิจการ

แนวโน้มไตรมาส 4/65 จะฟื้นตัว กำไรอยู่ที่ระดับ 1,900-2,000 ล้านบาท จากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลง คือ ราคากระดาษในไตรมาส 3 อยู่ที่  200 ดอลลาร์/ตัน ปัจจุบันปรับลดลงเหลือ 130-140 ดอลลาร์/ตัน เทียบกับในไตรมาส 1  อยู่ที่ 275-280 ดอลลาร์/ตัน ทําให้ส่วนต่างราคาขายกับต้นทุนดีขึ้นเป็น 280-310 ดอลลาร์/ตัน เทียบกับไตรมาส 1 เท่ากับ 245-255 ดอลลาร์/ตัน นอกจากนี้ยังเริ่มรับรู้ต้นทุนถ่านหินใหม่ที่ถูกลงจะทําให้สัดส่วนต้นทุนถ่านหินในไตรมาส 4/65 ลดลงเหลือ 7% จาก 8% ในไตรมาส 3  แนะนำ”ซื้อ” SCGP ลดราคาเป้าหมายจาก 65 บาทเหลือ 62 บาท

บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 18 ต.ค. มองว่ากำไรในไตรมาส 3/65 จะอ่อนตัวทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ของจีนทำให้อุปสงค์ของบรรจุภัณฑ์หายไปบางส่วน เพราะไม่สามารถส่งออกไปจีนได้ ผู้ประกอบธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนมีสินค้าคงเหลือค่อนข้างมาก ต่างเร่งระบายสินค้าคงเหลือออกสู่ภูมิภาค ส่งผลให้มีการแข่งขันด้านราคา คาดว่ามาร์จิ้นอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อย

ส่วนสหรัฐฯ และยุโรปที่เป็นตลาดหลักชะลอการสั่งซื้อลง เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องควบคุมต้นทุนมากยิ่งขึ้น แต่ด้านต้นทุนวัตถุดิบ และค่าขนส่งมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยราคา AOCC เฉลี่ยในไตรมาส 3 อยู่ที่ราว 200 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงจาก 275 ดอลลาร์ต่อตัน ในไตรมาส 2 เนื่องจากการผ่อนคลายมาตร COVID-19 ของสหรัฐฯ ทำให้มี collection rate ที่ดีขึ้น แนะนำ “ซื้อ” SCGP ให้ราคาเป้าหมาย 70 บาท

บทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 12 ต.ค.จาก บล.พาย ยังคงคําแนะนํา “ซื้อ” SCGP โดยปรับลดมูลค่าพื้นฐานลงจาก 65 บาทเหลือ 61 บาท อ้างอิงจาก P/E 30 เท่าในปี 2566 (ลดลงจาก P/E 33 เท่าในปี 2565) หรือที่เป็นค่าเฉลี่ย 3 ปี โดยจะเล็งเห็นศักยภาพด้านกำไรที่ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ไตรมาส 4 เป็นต้นไป ด้วยแรงหนุนจากอัตรากำไรที่ขยายตัวขึ้น ด้วยภาพรวมอุปสงค์ที่ดีขึ้นท่ามกลางการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันด้านต้นทุนที่ผ่อนคลายลง บวกกับการปรับเพิ่มขึ้นของมูลค่าจากดีล M&P

บล.พายมองว่ากําไรปกติในไตรมาส 3/65 จะเท่ากับ 1.7 พันล้านบาท (+25%YoY, -9%QoQ) อ้างอิงจากคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ 17.2%  อัตรากำไรธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรโต YoY แต่ลดลง QoQ จากอุปสงค์ต่อปริมาณขายบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ชะลอตัวทั้งในและต่างประเทศ ถูกฉุดลงจากการส่งออกไปจีนที่ลดลง (ราว 7% ของยอดขายไตรมาส 2/65) อัตรากําไรในธุรกิจเยื่อและกระดาษคาดว่าจะเพิ่มขึ้น QoQ หนุนจากราคาเยื่อกระดาษในตลาดที่แข็งแกร่งในระดับ 813 ดอลลาร์/ตัน (+21%QoQ) ในไตรมาส 2/65 เป็นผลจากความเหลื่อมของเวลาในการปรับราคา โดยประเมินว่ารายได้จะอยู่ที่ 40 ล้านบาท (+25%YoY, +5%QoQ) การเติบโต YoY เป็นเพราะฐานต่ำในไตรมาส 3/64 ที่อยู่ในช่วงโควิด-19 และส่วนแบ่งจากดีล M&P ใหม่ ส่วนที่โตขึ้น QoQ เป็นผลจากราคาที่ทรงตัวแม้อุปสงค์ลดลง

ผลประกอบการ SCGP มีโอกาสโตขึ้นในไตรมาส 4/65 หลังจากสะดุดในไตรมาส 3 เชื่อว่าทิศทางกำไร จะฟื้นตัว YoY จากฐานต่ำปีก่อน และโต QoQ จากอัตรากำไรที่สูงขึ้น หนุนจากส่วนต่างที่กว้างขึ้นระหว่างราคาบรรจุภัณฑ์กระดาษในตลาดและต้นทุนกระดาษรีไซเคิล นอกจากนี้ราคาเยื่อกระดาษที่ยืดหยุ่น รวมถึงต้นทุนพลังงานที่จัดการได้ และแรงกดดันจากค่าขนส่งที่ลดลงจะสะท้อนให้เห็นในไตรมาส 4  โดยราคาผลิตภัณฑ์และต้นทุนของบริษัทมักใช้เวลา 2-3 เดือนกว่าจะตามราคาตลาดทัน ส่วนต่างราคากระดาษในตลาดช่วงไตรมาส 3 เพิ่มเป็น 280 ดอลลาร์/ตัน (+70%YoY, +14%QoQ) เพราะต้นทุนกระดาษรีไซเคิลที่ลดลงเหลือ 200 ดอลลาร์/ตัน จาก 275 ดอลลาร์/ตันในไตรมาส 2  ต้นทุนวัตถุดิบขาลงเป็นผลมาจากการเก็บรวบรวมกระดาษรีไซเคิลที่ดีขึ้น สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด-19 และต้นทุนการขนส่งที่ลดลง คงคําแนะนํา “ซื้อ” การเติบโตในระยะยาวยังคงเดิม

ผลการดำเนินงานของ SCGP (หน่วย : ล้านบาท)

รายการ         ไตรมาส 1/65      ไตรมาส 2/65      ไตรมาส 3/64

รายได้              36,930              38,244              32,122

กำไรสุทธิ           1,658                1,856                1,781

กำไรต่อหุ้น(บาท)   0.39                  0.43                 0.41

 

#SCGP #MAYBANK #PI #PHILLIP