HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์เผยผลศึกษาข้อมูล ณ ก.ค.65 พบต่างชาติถือหุ้นไทยรวม 5.11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.29% จากปีก่อน สูงสุดในรอบ 4 ปี สนใจธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคมากที่สุด 953,319 ล้านบาท ตามด้วยธนาคาร 783,470 ล้านบาท อิเล็กทรอนิกส์ 617,210 ล้านบาท รวม 2.35 ล้านล้านบาท หรือ 46.1% ของพอร์ต และถือหุ้นเข้าใหม่ 26.84% เพิ่มหุ้นใน MSCI Thailand Index เป็น 72.3% จากปีก่อน 68.0%
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยผลศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 ของบริษัทจดทะเบียนจำนวน 783 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 19.0 ล้านล้านบาท หรือ 99.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด พบว่า ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 นักลงทุนต่างประเทศมีมูลค่าการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทยรวมกว่า 5.11 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 4 ปี เพิ่มขึ้น 0.29% จากปีก่อน
ที่สำคัญจากการซื้อสุทธิกว่า 153,151 ล้านบาท ในช่วงเดือนกันยายน 2564 – เดือนกรกฎาคม 2565 และการถือครองหุ้นของบริษัทที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ (new listing companies) โดยมีมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ คิดเป็น 26.84% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด
ส่วนอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มทรัพยากร มูลค่าถือครองหุ้นรวม 3.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 61.0% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
หมวดธุรกิจที่มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) 953,319 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดธนาคาร (BANK) 783,470 ล้านบาท และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) 617,210 ล้านบาท โดย 3 หมวดธุรกิจนี้มีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 2.35 ล้านล้านบาท หรือ 46.1% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ
ทั้งนี้ 72.3% ของมูลค่าการถือครองเป็นหุ้นที่อยู่ในองค์ประกอบของ MSCI Thailand Index เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 68.0%
สำหรับนักลงทุนต่างประเทศที่มีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 10 สัญชาติแรก พบว่า 8 ใน 10 สัญชาติ เป็นสัญชาติเดียวกันกับปีก่อน แต่มีสลับอันดับ โดย นักลงทุนจากสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด ตามมาด้วยสิงคโปร์ และสวิสเซอร์แลนด์ที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 ขณะที่ฮ่องกงลดลงไปอยู่อันดับ 4 และสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มอริเชียส เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ตามลำดับ