บลจ.วรรณเสิรฟ์ “ทริกเกอร์ฟันด์” มั่นใจหุ้นไปต่อ LTF-RMF เข้า Q4

บลจ.วรรณ บริหารกองทุนหุ้นไทย ONE-OPPORTUNITY6 ตามเป้าหมาย 6% คงมุมมองเชิงบวกตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยบวกเรื่องเลือกตั้งชัดเจน พร้อมเสนอขาย ONE-OPPORTUNITY 6/2 วันนี้ ถึง 5 ต.ค.นี้

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการบริหารกองทุนเปิด วรรณ ออพพอร์ทูนิตี้ 6 (ONE-OPPORTUNITY6) ซึ่งเป็นกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์เน้นลงทุนในตลาดหุ้น โดยใช้ระยะเวลาการบริหารกองทุนประมาณ 2 เดือน โดยบริษัทจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในระดับราคา 10.6006 บาทต่อหน่วย และซื้อหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเข้ากองทุนเปิดวรรณเดลี่ให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนจะสามารถขายคืนหรือสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนอื่นได้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดีจากความสำเร็จดังกล่าวกอปรกับบริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งมองว่าโอกาสในการปรับตัวลงของดัชนีเริ่มแคบลง และหากพิจารณาสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 29.47% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 33.10% สะท้อนได้ว่า ความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุนเริ่มจำกัดลง อีกทั้ง ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ทยอยรับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควร ซึ่ง ณ ระดับดัชนีปัจจุบันเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4 จะเริ่มมีเม็ดเงินจากแรงซื้อกองทุน LTF/RMF เข้ามาในตลาดอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้

ดังนั้น บริษัทจึงพิจารณาเปิดเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ออพพอร์ทูนิตี้ 6/2 (ONE-OPPORTUNITY6/2) วันนี้ ถึงวันที่ 5 ต.ค.2561 โดยกองทุนนี้จะมีความแตกต่างจากกองทุน ONE-OPPORTUNITY6 เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทกองทุนผสมที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยผสมกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยและตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยสามารถลงทุนได้ในสัดส่วน 0-100% เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ลงทุนในแต่ละช่วง โดยกองทุน ONE-OPPORTUNITY6/2 มีเป้าหมายเลิกโครงการ เมื่อราคา NAV แตะที่ระดับราคา 10.53 บาทต่อหน่วย หรือ ผลตอบแทนประมาณ 5% ภายใน 6 เดือน โดยกองทุน ONE-OPPORTUNITY 6/2 จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ 2 ครั้ง โดยครั้งแรก จะรับซื้อคืนหน่วยฯ เมื่อระดับ NAV แตะระดับ 10.30 บาทต่อหน่วยและครั้งที่ 2 จะรับซื้อคืนหน่วยฯ เมื่อ NAV แตะระดับ 10.50 บาทต่อหน่วย และเลิกโครงการ เมื่อราคา NAV แตะที่ระดับ 10.53 บาทต่อหน่วย

“เศรษฐกิจในประเทศจะยังคงเป็นแรงหนุนความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งภายในประเทศที่จะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วสุด ก.พ. 62 ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นรับกำหนดการเลือกตั้ง(Election Rally) ดังนั้น กลยุทธ์ของกองทุนนี้จึงต้องมี Theme คัดสรรหุ้นและตราสารหนี้ให้เหมาะกับสถานการณ์ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Stock Selection ซึ่งจะเน้นหุ้นที่มีศักยภาพได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐโดยมีระดับราคาไม่สูงมาก อีกทั้ง ยังคงต้องเน้นกลุ่มการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักโดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นที่ได้ร้บประโยชน์จากการเลือกตั้ง กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง” นายพจน์ กล่าว