โดย..สุนันท์ ศรีจันทรา
หุ้นบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ U ช่วงนี้มีสีสันขึ้นมา โดยบรรยากาศการซื้อขายคึกคัก ราคากำลังพยายามสร้างฐานใหม่ที่ 4 สตางค์ ซึ่งลากกันมาหลายวันแล้ว แต่ยังยืนได้ไม่มั่นคงนัก
U เคลื่อนไหวอยู่แถว 2-3 สตางค์มานานมาก เล่นกันเพียงช่วงราคาเดียวคือ 1 สตางค์ แต่ขึ้นลงเพียง 1 สตางค์ หมายถึงการขยับขึ้นถึง 50% หรือ ลงถึง 33% จึงไม่มีการซื้อขายมากนัก
แต่ช่วงนี้ U มีข่าวบ่อย มีแผนการขยายลงทุนมากมาย ผู้บริหารบริษัทออกมาพูดถึงแนวโน้มผลประกอบการที่สดใสกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไร จนราคาขยับขึ้นมายืนระดับ 4 สตางค์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดในรอบปี
การขยับขึ้นมาแตะระดับ 4 สตางค์ อาจไม่สูงนัก เพราะถ้าเทียบกับก่อนหน้าที่ขยับขึ้นลงอยู่แถว 2 – 3 สตางค์ แต่ถ้าคำนวณเปอร์เซ็นต์การปรับตัวขึ้น ถือว่า U มาเร็วและแรงมาก โดยขยับขึ้นมา 100% จากราคา 2 สตางค์ที่สามารถเคาะซื้อได้ก่อนหน้า
บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เดิมคือ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค จำกัด หรือ N-PARK แต่เปลี่ยนชื่อใหม่ หลังจากบริษัท บีที เอส กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เข้ามาถือหุ้นใหญ่ โดยนำทรัพย์สินเข้ามาแลกกับการซื้อหุ้นเพิ่มทุน เมื่อต้นปี 2558
ก่อนที่ BTS ที่นายคีรี กาญจนพาสน์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ ผลประกอบการ U ย่ำแย่หนัก และตกอยู่ในสภาพตายซาก ราคารูดลงมาเหลือเพียง 1 สตางค์ ซึ่งแม้กลุ่มกาญจนพาสน์จะเข้ามาบริหาร 3 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการก็ยังไม่ฟื้น ขาดทุนต่อเนื่อง 6 เดือนแรกปีนี้ขาดทุนสุทธิ 334.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ131.84 ล้านบาท
ยอดขาดทุนสุทธิล่าสุดมีจำนวน 10.163.16 ล้านบาท และถ้ายังล้างขาดทุนสะสมไม่หมด ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้
และถ้าผลประกอบการยังขาดทุน จะจ่ายเงินปันผลได้อย่างไร
BTS อาจจะถูกคัดเลือกให้บรรจุอยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ แต่ไม่ได้หมายความว่า บริษัทลูกอย่าง U จะเติบโตและมีฐานะแข็งแกร่งเหมือนบริษัทแม่ โดยปัญหาเฉพาะหน้า ต้องสร้างผลประกอบการให้มีกำไรเสียก่อน
ทุนจดทะเบียน U มีจำนวน 561,371.70 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 1 บาท โดยการทำกำไรให้ได้หุ้นละ 1 สตางค์ บริษัทจะต้องมีผลกำไร 5,613.71 ล้านบาท ซึ่งคงเกิดขึ้นไม่ได้ง่าย เพราะปัจจุบันยังขาดทุนอยู่
ผู้ถือหุ้นรายย่อย U มีจำนวนทั้งสิ้น 28,211 ราย ซึ่งแทบทั้งหมดขาดทุนจากหุ้นตัวนี้ บางคนถือมาตั้งแต่ยังเป็นหุ้นN-PARK โดยอาจซื้อไว้ในราคาที่สูงมาก จนอาจทำใจตัดขาดทุนขายไม่ได้ เมื่อราคาหุ้นทรุดลงมาเหลือเพียงไม่กี่สตางค์
การขยับขึ้นเพียง 1 หรือ 2 สตางค์ แทบไม่มีผลอะไรกับนักลงทุนที่เจ็บหนักจากหุ้นตัวนี้ แต่อาจมีผลต่อนักเก็งกำไรที่เข้ามาวัดดวงกับ U เพราะแต่ละสตางค์ที่ขยับขึ้น หมายถึงส่วนต่างราคาหุ้น 50% หรือ 33%
หุ้น U พยายามสร้างฐานราคาใหม่ที่ระดับ 4 สตางค์ แต่ยังยืนได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามภาวะตลาด และแรงซื้อที่อัดใส่เข้ามา ซึ่งหากฐานราคา 4 สตางค์ยืนได้แน่น เป้าหมายต่อไปคือ 5 สตางค์
ฐานราคาหุ้น U กำลังปรับเปลี่ยน แต่ผลประกอบการยังไม่ได้เปลี่ยน เพราะยังขาดทุนต่อเนื่อง มีแต่ผู้บริหารบริษัทที่ออกคุยอวดว่า ผลประกอบการกำลังจะฟื้นตัวเท่านั้น ส่วนจะฟื้นตัวจริงหรือไม่ ต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น
แต่นักลงทุนบางคน แห่เข้าไปลุย U โดยไม่รอ ทั้งที่ราคา 4 สตางค์ เป็นราคาที่กลายเป็นจุดเสี่ยง เพราะเป็นราคามาเร็ว และถ้าผลประกอบการไม่พลิกฟื้น ยังขาดทุนต่อเนื่อง
นักเก็งกำไรคง “ติดดอย” หุ้น U อีกรอบ