HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน ดัชนีดาวโจนส์พลิกปิดบวก 8.77 จุด กังวลเศรษฐกิจจะถดถอยทำตลาดลงไปสู่ตลาดหมี ด้านดัชนี Nasdaq ลดลง 33 จุด ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 113.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้าน “ตลาดหุ้นยุโรป” ส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการซื้อขายผันผวนเช่นกัน นักลงทุนยังกังวลเงินเฟ้อและสงครามยูเครนดันราคาน้ำมัน อาหารทั่วโลกสูงขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ปิดที่ 31,261.90 จุด เพิ่มขึ้น 8.77 จุด หรือ 0.03% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ด้วยความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย ส่งผลให้ตลาดลงไปสู่ตลาดหมี และดัชนี S&P 500 ต่ำกว่าระดับสูงสูงเดือนมกราคม 20% อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่ฟื้นตัวกลับมาอยู่ในแดนบวก
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 3,901.36 จุด เพิ่มขึ้น 0.57 จุด, +0.01%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,354.62 จุด ลดลง 33.88 จุด, -0.30%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.9% ลดลง 10% จากระดับสูงสุดแต่ยังไม่เข้าสู่ตลาดหมี ดัชนี S&P500 ลดลง 3.0% ส่วนดัชนี Nasdaq ลดลง 3.8% และเข้าไปสู่ภาวะตลาดตั้งแต่ต้นปีหลังจากลดลงจากระดับสูงสุดในเดือนพฤศจิกายน 2021 ด้วยแรงขายในกลุ่มเทคโนโลยี
นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ดัชนี S&P 500 อยู่ในภาวะตลาดหมี 12 ครั้งและใกล้แตะตลาดมี 17 ครั้ง
ตลาดวิตกเกี่ยวกับนโยบายการเงินที่ตึงตัว รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ภายใต้เงินเฟ้อสูงเป็นประวัติการณ์ ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างรสเซียกับยูเครนและการใข้มาตรการเข้มงวดสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในจีน
นอกจากนี้ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะถดถอยก็เพิ่มมากขึ้น อยู่ที่ว่า สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจ( National Bureau of Economic Research :NBER จะชี้ชัดอย่างเป็นทางการเมื่อไร เพราะGDP ไตรมาสแรกหดตัวแล้ว 1.4%
ไรอัน ดีทริคจาก LPL Financial กล่าวว่า หากเศรษฐกิจถดถอย ภาวะตลาดหมีจะเลวร้ายลงอีก โดยเฉลี่ย 34.8% และอยู่นาน 15 เดือน แต่หากเศรษฐกิจเลี่ยงภาวะถดถอยได้ ภาวะตลาดหมีจะลดไปเฉลี่ยต่ำสุด 23.8% และอยู่เพียง 7 เดือน
ดอยช์แบงก์คาดว่าดัชนี S&P 500 จะตกไปที่ระดับ 3,000 จุดหากเศรษฐกิจถดถอย
เดวิด คอสติน หัวหน้านักกลยุทธ ของโกลด์แมน แซคส์ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ภาวะถดถอยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมินความน่าจะเป็นได้ 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงสองปีข้างหน้า การสลับกลุ่มลงทุนในตลาดทุนของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่านักลงทุนกำลังรับราคาที่ตกลงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด
นักลงทุนเทขายหุ้นเซมิคอนดักเตอร์จากความวิตกเรื่องเศรษฐกิจถดถอย โดยหุ้น Nvidia ลดลง 2.5% และหุ้น AMD ลดลง and 3.3%
หุ้นแคทเธอพิลลาร์ลดลงกว่า 4% และหุ้น Deere ผู้ผลิตเครื่องจักรหนักลดลง 14% หลังรายได้ไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด หุ้นทั้งสองตัวจัดว่าเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลก
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มเดินทางและสันทนาการที่บวก 2% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังกังวลเกี่ยวเงินเฟ้อและสงครามในยูเครนและนัยทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลให้ราคาน้ำมันและราคาอาหารทั่วโลกสูงขึ้น
เป็นที่คาดกันว่าสงครามจะยืดเยื้อไปจนถึงหน้าร้อนหรือนานกว่านั้น ขณะที่ World Food Programme ชี้ว่าหากไม่สามารถเปิดท่าเรือยูเครนได้โลกอาจจะเกิดสงครามความมั่นคงด้านอาหาร
ในเยอรมนีดัชนีราคาผู้ผลิต(Producer Prices Index:PPI)เดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 33.5% จากระยะเดียวกันของปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นรายปีที่สูงเป็นประวัติการณ์ เป็นผลจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นหลังเกิดสงครามยูเครน
ในอังกฤษยอดค้าปลีกเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า แต่ เจมส์ สมิท นักเศรษฐศาสตร์จาก ING กล่าวว่า แนวโน้มยังไม่แน่นอน เพราะความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงต่ำลงเป็นประวัติการณ์
Pierre-Olivier Gourinchas หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF ให้สัมภาษณ์สถานทีโทรทัศน์ CNBC เมื่อวานนี้ว่า ปัญหาห่วงโซ่อุปทานจะคลี่คลายในไม่กี่เดือนข้างหน้า และจะบรรเทาผลกระทบด้านราคา แต่เตือนว่าแนวโน้มยังมีความเสี่ยง เพราะจีนยังใช้มาตรการล็อกดาวน์ ซึ่งอาจะทำให้เกิดการชะงักงันอีกได้ รวมทั้งราคาพลังงานยังเพิ่มขึ้นแต่ราคาอาหารอาจจะลดลงในแง่เงินเฟ้อทั่วไป จึงคาดว่าเงินเฟ้อจะอ่อนตัวลงในครึ่งหลังของปีนี้และปี 2023
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 431.10 จุด เพิ่มขึ้น 3.11 จุด, +0.73%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,389.98 จุด เพิ่มขึ้น 87.24 จุด, +1.19%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,285.24 จุด เพิ่มขึ้น 12.53 จุด, +0.20%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,981.91 จุด เพิ่มขึ้น 99.61 จุด, +0.72%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 1.02 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 113.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 112.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล