ดาวโจนส์ปิดบวก 26 จุด S&P ลบ วิตกเศรษฐกิจถดถอย

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 26 จุด ด้าน S&P 500 และ Nasdaq ลบ นักลงทุนประเมินความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลึกลงอีก ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น WTI บวก 3.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้านตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งบวกและลบ นักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมิองระหว่างประเทศ หลังจากฟินแลนด์ประกาศจะข้าร่วมเป็นพันธมิตร NATO

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ปิดที่ 32,223.42 จุด เพิ่มขึ้น 26.76 จุด หรือ 0.08% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯถดถอย และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวหลังจากจีนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนตัวกว่าคาด

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,008.01 จุด ลดลง 15.88 จุด, -0.39%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,662.79 จุด ลดลง 142.21 จุด, -1.20%

ตลาดโดยรวมยังคงผันผวนและปิดลบต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 และดัชนี S&P 500 ลดลงต่ำกว่าระดับสุงสุดของวันที่ 3 มกราคมถึง 16.1% ขณะที่นักลงทุนประเมินความเสี่ยงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลึกลงอีก เพราะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตั้งมั่นจะคุมเงินเฟ้อที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมืองในยูเครน และการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2020 ของจีน

จีนรายงานยอดค้าปลีกเดือนเมษายนลดลง 11.1% เมื่อเทียบรายปี ลดลงมากสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 20202 ส่วนผลผลิตอุตสาหกรมลดลง 2.9% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และลดลงมากกว่าคาด

บิล นอร์เธย์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการลงทุนของ U.S. Bank Wealth Management กล่าวว่า ตลาดยังคงเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับราคาใหม่จากการปรับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้นในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการคาดว่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการปรับนโยบายของเฟด จึงมีการปรับมูลค่าสินทรัพย์ในวงกว้างต่อเนื่องสอดคล้องกับความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอ่อนตัวลงเล็กน้อยไปที่ระดับต่ำกว่า 2.9% แต่ยังสูงกว่า 1.5% เมื่อต้นปี

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง โดยหุ้นแอมะซอนลดลง 1.9% หุ้นแอปเปิลลดลง 1.07% หุ้นอัลฟาเบทลดลง 1.3% หุ้นอินเทล ลดลง 1.1% หุ้น Datadog หุ้น Cloudflare และหุ้น Atlassian ซึ่งให้บริการคลาวด์ค่าลดลง 10.7%, 13.6%, และ 6.3% ตามลำดับ

หุ้นทวิตเตอร์ ลดลง 8.1% และหุ้นเทสลา ลดลง 5.88%

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งกว่า 3% จากข่าวเซี่ยงไฮ้เตรียมผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 3.0% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 2.3%

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้น Eli Lilly เพิ่มขึ้น 2.7% หลังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอนุมัติการจำหน่ายยา Mounjaro สำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) หุ้นไฟเซอร์ เพิ่มขึ้น 1.5%

เฟด สาขานิวยอร์ก รายงานดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index)เดือนพฤษภาคมลดลงแตะระดับ -11.6 จาก 24.6 ในเดือนเมษายน

ตลาดหุ้นยุโรปมีทั้งบวกและลบ โดยกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6% กลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1.4% ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวัง นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

บีท วิตต์แมน จาก Porta Advisors ในซูริค ให้ความเห็นว่า นโยบาย zero-Covid ของจีน สงครามในยูเครน และปัญหาการห่วงโซ่อุปทานที่ยืดเยื้อ ทำให้คาดว่านักลงทุนจะเลี่ยงความเสี่ยงจากตลาดหุ้นในไม่ช้า

นักลงทุนในยุโรปยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ หลงจากฟินแลนด์ประกาศจะข้าร่วมเป็นพันธมิตร NATO ซึ่งเป็นการดำเนินครั้งสำคัญในประวัตศาสตร์ของประเทศที่มีนโยบายความเป็นกลางทางทหารมาเป็นทศวรรษ

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 433.67 จุด เพิ่มขึ้น 0.19 จุด, +0.04%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,464.80 จุด เพิ่มขึ้น 46.65 จุด, +0.63%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,347.77 จุด ลดลง 14.91 จุด, -0.23%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,964.38 จุด ลดลง 63.55 จุด, -0.45%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้น 3.71 ดอลลาร์ หรือ 3.4% ปิดที่ 114.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 2.69 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 114.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล