HoonSmart.com>>”บริษัทบริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ” ปักธงหนึ่งในบริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำ มีธรรมาภิบาลที่ดี พร้อมเข้าเทรดวันแรกใน mai วันที่ 5 พ.ค.นี้ เดินหน้านำเงิน IPO ซื้อหนี้ NPLs เพิ่ม ปีนี้พอร์ตทะลุ 1 พันล้าน อนาคตเติบโตต่อเนื่องตามปริมาณหนี้ NPLs ของระบบสถาบันการเงินไทย มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 80-90% ด้านโบรกเกอร์ชั้นนำ ประเมินมูลค่าเหมาะสมไว้ที่ 4.94-5.40 บาท/หุ้น ราคาขาย IPO ที่ 3.70 บาท
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล ( KCC) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย และการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรกในวันที่ 5 พ.ค.2565 ตั้งเป้าหมายการทำธุรกิจที่ต้องการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพด้วยความโปร่งใส และมีความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย และเป็นหนึ่งในบริษัทบริหารสินทรัพย์ชั้นนำที่มีธรรมาภิบาล จะสนับสนุนให้บริษัทเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทฯ จะนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหุ้น ไอพีโอ ไปลงทุนซื้อหนี้ NPLs โดยในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบการลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งจะหนุนให้พอร์ตหนี้ NPLs เพิ่มขึ้นทะลุ 1,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 565.57 ล้านบาท และอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีกจากฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น มีการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
นายทวีกล่าวเพิ่มเติม ว่า บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2565 สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจะมีการนำสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาเปิดประมูลมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มของหนี้เสียในระบบมีเพิ่มขึ้นหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต่อเนื่องและภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลง จึงมั่นใจเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 ที่มีรายได้จากการดำเนินงาน 125.75 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 52.42 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯมีการเติบโตต่อเนื่องทุกๆ ปี โดยปี 2562 มีรายได้จากการดำเนินงาน 57.10 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 12.03 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้จากการดำเนินงาน 128.10 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 49.06 ล้านบาท
ด้าน นายวัชรินทร์ เลิศสุวรรณกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า KKC มีปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่โดดเด่น มีจุดแข็งในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้บริหารที่คร่ำหวอดในธุรกิจ AMC กว่า 20 ปี และในอนาคตมีโอกาสโตจากการซื้อลูกหนี้ ประกอบกับผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 89-90% มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นปี 2564 ในระดับต่ำเพียง 0.63 เท่า
นางสุพัตรา ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 160 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 3.70 บาท/หุ้น ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่เป็นหนึ่งในบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรม AMC ที่มีโอกาสเติบโตตามปริมาณหนี้ NPLs ของระบบสถาบันการเงินที่จะเพิ่มสูงขึ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำจัดทำบทวิเคราะห์และประเมินกรอบราคาเหมาะสมของ KCC อยู่ในกรอบ ที่ 4.94-5.40 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ระบุว่า KCC เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพด้านธุรกิจและที่อยู่อาศัยมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวหลังระดมทุนนำเงินจากไอพีโอไปซื้อหนี้ NPLs และจะก้าวสู่การเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับแนวโน้ม NPLs ของสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโควิด 19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยประเมินแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565-2566 จะเติบโตเฉลี่ย 32% และ 94%YOY รายได้ดอกเบี้ยรับเติบโตโดดเด่น ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 5.40 บาท
“KCC จะมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นหลังระดมทุน สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดลงเหลือ 0.5เท่า จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 0.63 เท่าและต่ำกว่านโยบายที่กำหนดไว้ 2 เท่าอยู่มาก รองรับการก่อหนี้เพื่อขยายธุรกิจในอนาคตได้” บทวิเคราะห์ระบุ
นอกจากนี้ ปริมาณหนี้ NPLs ในระบบสถาบันการเงินสิ้นปี 2564 มีกว่า 5.3 แสนล้านบาท พบว่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพภาคธุรกิจ มีสัดส่วนมากถึง 73% ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งหมด และหากดูสถิติในอดีต NPLs ภาคธุรกิจตั้งแต่ปี 2554 – 2564 โตเฉลี่ย 5.9% ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อ KCC ที่จะมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาให้บริหารเพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด ระบุว่า KCC จะเป็นหนึ่งในธุรกิจ AMC ที่ดีที่สุดรายหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้น และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ในระดับสูง และการที่ NPLs ในระบบที่เพิ่มขึ้นจากวิกฤตโควิด 19 จะสนับสนุนการเติบโตของ KCC ในช่วง 2 ปีนี้จากพอร์ต NPLs ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และรายได้ดอกเบี้ยรับช่วง 2565-2566 สูงขึ้นมาอยู่ที่ 226 ล้านบาทเพิ่มขึ้น117% และ306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ตามลำดับ และประเมินกำไรสุทธิปี 2565-2566 จะเติบโตแข็งแกร่ง ขึ้นมาอยู่ที่ 72 ล้านบาท และ113 ล้านบาท ตามลำดับ ประเมินราคาเหมาะสมของ KCC ที่ 4.94 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ P/BVแล้วจะอยู่ที่ 2.55 เท่าในปี 2565 ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มซึ่งอยู่ที่ 3.33 เท่า