ดาวโจนส์ปิดบวก 84 จุด แรงช้อนซื้อท้ายตลาด จับตาเฟดประชุม

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 84 จุด แรงช้อนซื้อหุ้นช่วงท้ายตลาดหลังร่วงแรงในช่วงแรก นักลงทุนจับตาการประชุมเฟด ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 48 เซนต์ ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดลบ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศหลักทั้งในยุโรปและเอเชีย และจากการร่วงลงอย่างฉับพลันของตลาดหุ้นสวีเดน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ปิดที่ 33,061.50 จุด เพิ่มขึ้น 84.29 จุด หรือ 0.26% จากแรงช้อนซื้อในช่วงท้ายตลาดหลังจากร่วงในช่วงแรกที่เทขายหนัก

ดัชนี S&P 500 และ ดัชนี Nasdaq ร่วงไปที่ระดับต่ำสุดในรอบปีก่อนที่กลับมาปิดบวก
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,155.38 จุด เพิ่มขึ้น 23.45 จุด, +0.57%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,536.02 จุด เพิ่มขึ้น 201.38 จุด, +1.63%

น้ำมันดิบกลับมาเพิ่มขึ้นจากที่อ่อนตัวไปช่วงก่อนหน้าและกลับมาอยู่ที่ระดับเหนือ 105 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นมาที่ 3% สูงสุดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2018 ส่งผลให้ตลาดผันผวน

แมทท์ มาเล่ย์ จาก Miller Tabak กล่าวว่า ระดับ 3% เป็นระดับจิตวิทยาสำคัญ ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง(เฟด)

เดวิด คาทซ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจาก Matrix Asset Advisors กล่าวว่า ตลาดกังวลเกินไปเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แต่นักลงทุนมีโอกาสช้อนซื้อหุ้นซึ่งหลายตัวอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจ

ขณะที่นักวิเคราะห์รายอื่นเตือนว่าการปรับขึ้นตลาดเป็นเพียงระยะสั้น และการที่ดัชนีตกไปที่ระดับต่ำสุดใหม่ บ่งชี้ว่าตลาดอาจะร่วงลงได้อีก

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเมื่อวานนี้ โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์เพิ่มขึ้น 4.8% และหุ้นเมตา

แพลตฟอร์มบวก 5.3% หุ้นไมโครซอฟต์และหุ้นอัลฟาเบทต่างปรับขึ้นกว่า 2% แต่หุ้นแอปเปิลและหุ้นแอมะซอนบวกไม่ถึง 1% จากที่เคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่

หุ้นเซมิคอนดักเตอร์และหุ้นพลังงานเป็นสองกลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่น และหนุนดัชนีดาวโจนส์โดยหุ้นอินเทลเพิ่มขึ้น 3.1% หุ้นเชฟรอนบวก 2%

นักลงทุนจับตาการประชุมของคณะกรรมการ FOMC ของเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 3-4 พฤษภาคมและจะมีแถลงการณ์ออกในช่วงบ่ายวันพุธและตามมาด้วยการแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวลล์ประธานเฟด

นักลงทุนคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ขึ้นดอกเบี้ยมากขนาดนี้นับตั้งแต่ปี 2000 จากที่ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมีนาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย fed fund rate จะอยู่ในช่วง 0.25%- 0.50% และขยับระดับต่ำสุดของดอกเบี้ยเหนือ 0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020

นอกจากนี้ยังคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มลด QE จากงบดุลที่มีขนาด 9 ล้านล้านดอลลาร์

กระทรวงพาณิชย์รายงาน ข้อมูลการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ต่ำกว่า 0.7% ที่นักวิเคราะห์คาด

สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) รายงานดัชนีภาคการผลิตเดือนเมษายนลดลงมาที่ 55.4 จาก 57.1 เดือนมีนาคม ซึ่งชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปที่ 57.6

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศหลักทั้งในยุโรปและเอเชียและจากการร่วงลงอย่างฉับพลันของตลาดหุ้นสวีเดน

ดัชนี OMX 30 ของตลาดหุ้นสวีเดนลดลง 8% ช่วงหนึ่งก่อนที่กลับมาบวก เป็นผลจากคำสั่งขายหุ้นซิตี้กรุ๊ป 1 รายการ ที่ระบบคำนวณผิดพลาด
ยอดค้าปลีกในเยอรมนีเดือนมีนาคมลดลง 0.1% ผิดจากที่คาด

นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจหลังจากจีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(Purchasing Managers’ Index:PMI) เดือนเมษายนลดลงมาที่ 47.4 เป็นการลดลงติดต่อกันเดือนที่สอง จาก 49.5 ในเดือนมีนาคม

นอกจากนี้ยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามในยูเครน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 443.83 จุด ลดลง 6.56 จุด, -1.46%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,425.61 จุด ลดลง 108.16 จุด, -1.66%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,939.07 จุด ลดลง 158.81 จุด, -1.13%

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดทำการในวันที่ 2 พ.ค.เนื่องในวันหยุดธนาคาร

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 48 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 105.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 107.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล