HoonSmart.com>>ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 เกือบทุกแห่งทำได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ยกเว้น LHFG ที่มีกำไรสุทธิ 512 ล้านบาท ลดลง 8.7% ขณะเดียวกันก็ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน ความสามารถในการขยายสินเชื่อ คุม NPLs ได้ดี ตั้งสำรองลดลง โดยธนาคารกสิกรไทย ทำกำไรได้สูงสุด 11,211 ล้านบาท แต่ไม่เซอร์ไพรส์ตลาด หุ้นถูกขายทำกำไร ราคาร่วง 1.90% ปิดที่ 154.50 บาท
ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มีกำไรสุทธิ 11,210.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.50%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเติบโต 13.23% เทียบกับไตรมาสที่ 4/2564 โดยมีการตั้งสำรองจำนวน10,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.93% แต่ลดลงจากไตรมาส 4/2564 ประมาณ -2.55%
กำไรที่ดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน หลักๆ กำไรดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น จำนวน 3,618 ล้านบาท หรือ12.86% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน3,032 ล้านบาทหรือ25.49% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด ขณะที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจำนวน 859 ล้านบาทหรือ 5.20% หลักๆ จากค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพิ่มขึ้นจำนวน 686 ล้านบาท หรือ7.93% ส
ด้าน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) มีกำไรสุทธิสูงเป็นอันดับสอง จำนวน 10,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายตัวของฐานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและการตั้งเงินสำรองที่ลดลง
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองจำนวน 21,713 ล้านบาท ลดลง 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการลงทุนที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำในปีที่แล้วที่มีการปิดเมืองเป็นวงกว้าง
ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 24,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% สาเหตุหลักมาจากการบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและอัตราผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นในขณะที่สินเชื่อรวมขยายตัวเล็กน้อย ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 9.9% เหลือจำนวน 12,960 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลของการลดลงของรายได้จากเงินลงทุน และการชะลอตัวของธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 15,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9%เกิดจากกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่เพิ่มมากขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 42.4%
ธนาคารได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 8,750 ล้านบาท ลดลง 12.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ภายหลังจากที่ธนาคารได้ตั้งเงินสำรองไว้ในระดับที่สูงกว่าสภาวะปกติตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมี.ค.2565 อยู่ที่ 3.70% ลดลงจาก 3.79% ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 143.9% และเงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.6%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาสแรกสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีความเปราะบางและมีความแตกต่างในแต่ละภาคส่วน อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทายและความผันผวนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ผ่านโครงการการปรับโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จ ปัจจุบันยอดสินเชื่อภายใต้โครงการฯ (มาตรการสีฟ้า) มีจำนวน 249,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ธนาคารมีความยินดีกับผลสำเร็จของการแลกหุ้นของธนาคารไปสู่บริษัท เอสซีบี เอกซ์ ที่ได้รับการตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ และฝ่ายจัดการมีความเชื่อมั่นที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวจากการปรับโครงสร้างนี้