HoonSmart.com>>”บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล” เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอหุ้นละ 3.70 บาท จำนวน 160 ล้านหุ้น จัดโรดโชว์ออนไลน์ ชูจุดแกร่งมีผู้บริหารคร่ำหวอด AMC มานานกว่า 20 ปี อัตรากำไรสุทธิ 37% สูงสุดในอุตสาหกรรม หนี้ต่ำ รายได้-กำไรโตทุกปี เผยในระบบการเงินมี NPLs กว่า 5 แสนล้านบาท หนุนการเติบโตต่อเนื่อง 1-2 ปี
นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล(KCC) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย และการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขาย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำเสนอข้อมูลการดำเนินธุรกิจ (โรดโชว์) ออนไลน์ ในวันที่ 21 เม.ย.2565 เพื่อให้นักลงทุนได้รับทราบธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต ตามภาพรวมของอุตสาหกรรม AMC ที่ยังมีโอกาสโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าสถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะนำสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) ออกมาขายเพิ่มขึ้น หากดูตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดพบว่า NPLs ทั้งระบบมีกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้อุตสาหกรรม AMC ยังมีการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีนี้
“KCC อยู่ในธุรกิจ AMC มานานกว่า 20 ปี เรามีความเชี่ยวชาญในการซื้อหนี้โดยเฉพาะลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่มีสัดส่วนกว่า 60.22% และลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย 39.78% ซึ่งการเข้าซื้อหรือประมูล NPLs จะดำเนินการอย่างรอบคอบเพราะราคาที่จะได้มาเป็นหัวใจสำคัญ จะตั้งทีมเพื่อเข้าไปทำ Due Diligence เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลลูกหนี้ให้ครอบคลุมทุกๆ ด้าน รวมถึงการจัดทำประมาณการกระแสเงินสดสุทธิที่คาดว่าจะได้รับ เพื่อกำหนดราคาซื้อที่เหมาะสมให้ได้ผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายทวี กล่าว
ปัจจุบัน KCC อยู่ระหว่างการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.70 บาทจากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในวันที่ 22, 25-26 เม.ย.นี้ และจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน ต้นเดือนพ.ค.2565
นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนประมาณ 592 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย นำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออก และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต
“การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีศักยภาพในการเข้าประมูลหนี้ NPLs เพิ่มขึ้น ตามแผนปีนี้จะลงทุนเพิ่มประมาณ 800 ล้านบาท จากสิ้นปี 2564 บริษัทฯ มีพอร์ตหนี้ NPLs ที่ 565.57 ล้านบาท เพื่อให้ KCC เป็นทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นปันผลโดยบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ” นายทวี กล่าว
นางสุพัตรา ภู่พัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า KKC กำหนดราคาขายหุ้นละ 3.70 บาท เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก ราคาขายถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV) ที่ 5 เท่า โดยคำนวณจากมูลค่าทางบัญชีสุทธิปี 2564 เท่ากับ 460.61 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 620 ล้านหุ้น จะได้มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 0.74 บาท ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการในอดีต โดยยังมิได้พิจารณาถึงผลงานในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
ด้าน นายวัชรินทร์ เลิศสุวรรณกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า KCC อยู่ในอุตสาหกรรม AMC มีโอกาสเติบโตและเป็นธุรกิจที่อยู่ในเทรนด์อนาคต จากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งหากดูโครงสร้างผู้ถือหุ้นและทีมผู้บริหาร ทั้งนายสุชาติ บุญบรรเจิดศรีและนายทวี กุลเลิศประเสริฐ ถือว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และคร่ำหวอดในธุรกิจบริหารหนี้และธุรกิจการเงินมากว่า 20 ปี จะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง
นอกจากนี้บริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 89% ซึ่งถือว่าสูงกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมธุรกิจ AMC โดย KCC มีความถนัดในการบริหารหนี้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นหนี้ก้อนใหญ่ใช้บุคลากรไม่มาก สามารถควบคุมต้นทุนได้และอนาคตมีโอกาสเติบโต ขณะที่มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.63 เท่า มีเป้าหมายไม่เกิน 2 เท่า มีความสามารถที่จะหาแหล่งเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตได้อีกมาก ขณะที่ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE )เติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 12.06% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ อยู่ที่ 37.08% ซึ่งสูงกว่าบริษัทในอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ยังมีรายได้และกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ช่วงปี 2562-2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 57.10 ล้านบาท 128.10 ล้านบาทและ125.75 ล้านบาท ตามลำดับและมีกำไรสุทธิเท่ากับ 12.03 ล้านบาท 49.06 ล้านบาท และ 52.42 ล้านบาท ตามลำดับ