HoonSmart.com>>”บัตรกรุงไทย”มั่นใจทุกธุรกิจหลักโตเข้าเป้า ปี65 พอร์ตสินเชื่อมากกว่า 1 แสนล้านบาท หากเศรษฐกิจดีต่อเนื่อง เผยผลงานไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 1,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเฉียด 7% พอร์ตลูกหนี้รวมเพิ่มขึ้นทะลุ 90,208 ล้านบาท เน้นคุณภาพพอร์ตควบคู่สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้สมาชิกทุกภาคส่วน
บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC)เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิ 1,747 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113 ล้านบาทหรือ 6.93% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มีกำไรสุทธิ 1,633.81 ล้านบาท งบการเงินเฉพาะกิจการมีกำไรสุทธิ 1,752 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากงวดเดียวกันของปี 2564
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนผลมาสู่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของเคทีซีในไตรมาส1/ 2565 ขยายตัวขึ้น 7.9% ด้วยมูลค่า 52,247 ล้านบาท อีกทั้งพอร์ตลูกหนี้ยังเติบโต และรักษาคุณภาพพอร์ตที่ดี คุมระดับ NPLs ให้อยู่ในอัตราต่ำ ทำให้การตัดหนี้สูญน้อยลง พร้อมรับมือกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ในกรอบความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา อัตราการอนุมัติสินเชื่อสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากสถานการณ์เศรษฐกิจยังคงรักษาระดับเช่นนี้และดีขึ้นต่อเนื่อง เชื่อว่าเคทีซีจะสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้ตามที่วางไว้
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก มีฐานสมาชิกรวม 3,263,842 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 90,208 ล้านบาท จากการเข้าซื้อกิจการบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง (KTBL) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPLs) 3.6% ท่ากับไตรมาส 4/2564 แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,510,221 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 57,929 ล้านบาท NPLs บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 753,621 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 29,125 ล้านบาท NPLs สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.6% และ พอร์ตลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 3,155 ล้านบาท โดยแนวโน้มยอดสินเชื่อลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม” และ “กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง” เพิ่มขึ้น 112.6% จากไตรมาส 1/2564 และเพิ่มขึ้น 27.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
“เคทีซียังคงคำนึงถึงการสร้างความสมดุลของรายได้และค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยควบคุมต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม และสร้างพอร์ตที่มีความเสี่ยงสอดคล้องกับรายได้ที่คาดว่าจะได้รับ ทำให้กำไรขยายตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม 5,357 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% มีรายได้ค่าธรรมเนียมใกล้เคียงเดิม และมีหนี้สูญได้รับคืน 857 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 834 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวมลดลง 3.1% จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ลดลงที่ 13.2% และต้นทุนทางการเงินลดลง 7.4% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้น 5.0% และค่าใช้จ่ายด้านโปรโมชันทางการตลาดสูงขึ้น เพื่อสร้างพอร์ต ที่หวังสร้างรายได้และผลกำไรในระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการนโยบายต่อเนื่อง เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ตามมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะ (ตามประกาศ ธปท. ฝนส.2 ว.802/2564) เป็นจำนวนเงิน 2,278 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.63% ของพอร์ตลูกหนี้รวม”
ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 บริษัทฯ มีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 50,367 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีโครงสร้างแหล่งเงินทุนมาจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 29% ต่อ 71% ต้นทุนการเงินอยู่ที่ 2.6% อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.0 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่าและมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ 29,259 ล้านบาท
สำหรับแนวทางการเติบโตทางธุรกิจของเคทีซีในปี 2565 ธุรกิจบัตรเครดิตจะเน้นขยายฐานบัตรร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ ตั้งเป้าปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตโต 10% หรือประมาณ 220,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจสินเชื่อบุคคลจะขยายฐานสมาชิกใหม่ที่มีศักยภาพ ด้วยการนำเสนอบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” เจาะกลุ่มผู้มีรายได้ประจำและมีฐานรายได้ที่สูงขึ้น โดยประมาณการเติบโตที่ 7% ในส่วนของธุรกิจ “เคทีซี พี่เบิ้ม” และกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง ตั้งเป้ามียอดลูกหนี้ 11,500 ล้านบาท ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายธนาคารกรุงไทยกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งการรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพที่ดีในระดับเดิม
การจะนำพาธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เคทีซี จะมีค่าใช้จ่ายเชิงกลยุทธ์ในด้านการตลาดที่มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนแบ่งการตลาดที่สูงขึ้น โดยคาดว่าในปี 2565 เคทีซีจะมีมูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวมมากกว่า 100,000 ล้านบาท และกำไรที่สูงขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนไทย และยกระดับองค์กรสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ที่บูรณาการความยั่งยืนให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับประเทศและระดับสากล